วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

เคมีบำบัดคืออะไร (Chemotheoapy)

เคมีบำบัดคืออะไร (Chemotheoapy)

เคมีบำบัดคือ การใช้ยาเพื่อรักษาโรค ซึ่งมาจากคำ 2 คำ มารวมกันคือคำว่าเคมี (Chemical) และบำบัด
(Therapy) หรือรักษา (Treatment) ปัจจุบันเคมีบำบัดใช้สำหรับยารักษาโรคมะเร็งเซลล์มะเร็งเป็นเซลล์ที่ผิดปกติ เพราะไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโต ซึ่งต่างจากเซลล์ปกติที่มีการแบ่งตัว และเจริญเติบโตเมื่อร่างกายสั่ง

เคมีบำบัดทำงานโดยเข้าไปขัดขวางการเจริญเติบโต หรือการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งให้ช้าลงและทำลายเซลล์มะเร็งที่กำลังแบ่งตัวเซลล์ปกติที่กำลังเจริญเติบโต หรือกำลังแบ่งตัวจะถูกผลกระทบจากเคมีบำบัด เช่น ไขกระดูกซึ่งมีหน้าที่ผลิตเซลล์เลือดแดง เซลล์บุผนังทางเดินอาหาร (ปาก, คอ, กระเพาะอาหาร, ลำไล้เล็ก) และรากผม

ผลกระทบของเคมีบำบัดต่อเซลล์ปกติคือ อาการข้างเคียงของการใช้เคมีบำบัด เช่น โลหิตจาง, คลื่นไส้อาเจียน, ผมร่วง อย่างไรก็ตาม แพทย์ได้ตระหนักถึงอาการข้างเคียงเหล่านี้ และสามารถทำให้ลดน้อยลง หรือป้องกันได้ด้วยการเสริมการบำบัดชนิดอื่นที่เหมาะสม


วิธีให้เคมีบำบัด
แพทย์จะสั่งใช้ยารักษาโรคมะเร็งชนิดใดขึ้นอยู่กับชนิด และตำแหน่งของมะเร็งและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยปัจจุบันการใช้ยารักษาโรคมะเร็งร่วมกันหลายชนิด จะให้ผลที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ยาชนิดเดียวกัน

การให้ยารักษาโรคมะเร็งมีหลายวิธี ยามีทั้งชนิดน้ำ ชนิดเม็ด ชนิดฉีด ยารักษาโรคมะเร็งเวลาใช้ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดมากไปกว่ายาที่ใช้รักษาโรคทั่ว ๆ ไป

ยาชนิดรับประทาน
เคมีบำบัดชนิดรับประทานมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เพราะเป็นวิธีให้ยาผู้ป่วยที่สะดวกที่สุดเมื่อกลืนยาลงไปจะถูกดูดซึม เข้าสู่กระแสเลือดทางเยื่อบุผนังกระเพาะอาหาร และเยื่อบุผนังลำไส้เล็ก ยาบางชนิดไม่สามารถให้ทางวิธีนี้ได้เพราะอาจทำลายเยื่อบุผนังกระเพาะอาหาร ด้วยวิธีนี้ยาบางชนิดสามารถให้ได้โดยวิธีฉีดเท่านั้น

ยาฉีดชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ยาบางชนิด มีประสิทธิภาพดีที่สุดเมื่อถูกปล่อยอย่างช้าเข้าสู่กระแสเลือด ยาชนิดนี้จะถูกฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
มากกว่าฉีดเข้าหลอดเลือดโดยตรง

ยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือผสมกับของเหลวอื่นที่ให้ทางหลอดเลือดดำยาที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือทำลายเนื้อเยื่อ จะถูกฉีดเข้าหลอดเลือดดำและกระแสเลือดโดยตรงดังนั้นกระแสเลือดจะทำให้ยาเจือจางอย่างรวดเร็วและเริ่งทำงานได้ทันที

การรักษาที่บ้าน
การให้เคมีบำบัดแก่ผู้ป่วยนอก ไม่จำเป็นต้องพักที่โรงพยาบาลผู้ป่วยสามารถรับประทานยาเองได้สำหรับยาฉีดต้องให้แพทย์หรือพยาบาลเป็นผู้ให้ที่คลีนิกหรือที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องไปฉีดที่โรงพยาบาล

เคมีบำบัดชนิดรับประทานสะดวกที่สุด เพราะผู้ป่วยรับประทานเองได้
เมื่อรับประทานยาเองที่บ้านคำแนะนำของแพทย์เกี่ยวกับใช้ยาและเวลา ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ยารับประทานอาจจะผสมน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่ม เพื่อให้รสชาติดีขึ้น ถ้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยาควรปรึกษาแพทย์


อาหารและกิจวัตรประจำวัน

อาหาร
การรักษาสมดุลของอาหารเป็นสิ่งสำคัญ การบำรุงด้วยอาหารที่ดีช่วยให้ผู้ป่วยต่อสู้กับโรคต่าง ๆ ได้อธิบายอาหารประจำวันแก่แพทย์ ซึ่งแพทย์อาจมีข้อแนะนำให้ปรับปรุงเกี่ยวกับอาหารประจำวันเพื่อให้ได้สารอาหารแบบสมบูรณ์

ผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัดอาจมีความอยากรับประทานอาหารน้อยกว่าปกติ ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารแต่น้อยวันละ 5-6 ครั้ง แทนที่จะรับประทานวันละ 3 มื้อ มื้อละมาก ๆ ยาต้านมะเร็งบางครั้งมีผลทำให้รสชาติของอาหารเปลี่ยนแปลง มีรายงานว่าผู้ป่วยจำนวนมาก ความอยากรับประทานอาหารเนื้อสัตว์สีแดงหายไป เพราะว่าเคมีบำบัดทำให้รสชาติของอาหารขมเราอาจทำให้รสชาติของอาหารดีขึ้น โดยใช้ซอสถั่วเหลือง หรือน้ำผลไม้ช่วยในการปรุงอาหาร ภาชนะโลหะ ซึ่งสามารถทำให้รสชาติของอาหารขม ใช้ภาชนะพลาสติก สามารถลดความขมลงได้

ยาต้านมะเร็งบางชนิดมีผลกระทบต่อกระเพาะปัสสาวะและไต อาจต้องรับประทานน้ำหรือของเหลวเพิ่ม
ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ ควรตระหนักว่าแอลกอฮอล์เป็นยาชนิดหนึ่ง ปรึกษาแพทย์ว่าแอลกอฮอล์
แทรกแซงยาต้านมะเร็งหรือไม่ อาจต้องจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ ระหว่างได้รับเคมีบำบัดอยู่ ปรึกษากับแพทย์ถึงการเปลี่ยนแปลงความอยากอาหารหรือนิสัยของการรับประทานอาหาร ผู้ป่วยและแพทย์ต้องร่วมมือกันเพื่อให้ได้รายการอาหารที่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และผู้ป่วยสามารถปฏิบัติได้

กิจวัตรประจำวัน
ให้ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ นอกจากแพทย์แนะนำเป็นอย่างอื่น อย่างไรก็ตามผู้ป่วยจำเป็นต้องพัก 1 ถึง 2 วัน หลังจากได้รับเคมีบำบัดแต่ละครั้ง ถ้าผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลียติดต่อกันเป็นระยะเวลานานมีอาการมึนงง รู้สึก หนาวสั่นหรือมีอาการหายใจไม่ออก แจ้งให้แพทย์ทราบทันที อาจเป็นสัญญาณบอกถึงอาการโรคโลหิตจาง ซึ่งเป็นสภาพที่จำนวนเม็ดเลือดแดงแต่ำกว่าปกติ ถ้าแพทย์บอกว่ามีอาการโลหิตจาง ให้พักผ่อนให้มาก ทาน ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ และตับเพิ่ม เคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาหารมึนงง ถ้าปฏิบัติตามนี้แล้ว ยังคงมีอาการมึนงงให้ปรึกษาแพทย์และพยาบาล


อาการข้างเคียงของเคมีบำบัด
ปัญหาเกี่ยวกับการย่อยอาหาร
ยาบำบัดมะเร็งทำให้ระคายเคืองต่อเซลล์บุทางด้านอาหาร แล้วยังมีผลต่อสมองส่วนที่ควบคุมการอาเจียน
ดังนั้นผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน แต่แพทย์สามารถให้ยาอื่นเพื่อลดอาการดังกล่าว และผู้ป่วยสามารถ
เปลี่ยนนิสัยการรับประทานอาหารเพื่อลดอาการ เหล่านั้นจึงรวมถึงการรับประทานอาหารครั้งละน้อย ๆ แต่
บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้อิ่มเกินไป อย่ารับประทานอาหารที่จืดหรือร้อนจัด ให้ลดของเหลวระหว่างรับประทาน
อาหารที่หวานจัด อาหารทอด อาหารที่มันและอาหารที่มีกลิ่นแรงควรหลีกเลี่ยง ให้อยู่ห่างจากห้องครัว
เวลามีการปรุงอาหาร เพื่อหลีกกลิ่นอาหาร ถ้าต้องการทำอาหารเองให้ทำในวันที่คุณรู้สึกแข็งแรง และทำที
เดียวสำหรับหลายมื้อเก็บเอาไว้

ท้องร่วงและท้องผูก อาจมีสาเหตุมาจากยาบำบัดมะเร็ง ถ้าท้องร่วงนานเกิน 24 ชั่วโมง ให้แจ้งแพทย์ทราบ
ถ้าท้องร่วงให้รับประทานอาหารที่เป็นของเหลวใสเพื่อย่อยง่าย ดื่มของเหลวที่ใช้แทนอาหารมาก ๆ เพื่อ
ทดแทนน้ำที่สูญเสีย หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียเป็นตะคริว เช่น กาแฟ, ถั่ว, ถั่วเปลือกแข็ง,
กระหล่ำปลี, ผ้าคะน้า, ดอกกะหล่ำ ของหวานและอาหารรสจัด หลีกเลี่ยงนมและอาหารที่ทำมาจากนม
เพราะทำให้อาการท้องร่วมเลวลง เพื่อป้องกันอาการท้องผูกให้ดื่มน้ำมาก ๆ หรือน้ำเกลือแร่ เพื่อช่วยให้
ลำไส้เคลื่อนไหวง่ายขึ้น และรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารสูง เช่น รำข้าว, ผักและผลไม้สด ขนมปังที่
ทำจากข้าวหรือข้าวสาลีที่ไม่ได้เอารำออก ให้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันปกติ

ยาบำบัดมะเร็งอาจเป็นสาเหตุของปากและคอแห้งหรือมีแผลเปื่อยในปากและคอ ของเหลวและอาหารที่มีน้ำ ผสม จะช่วยไม่ให้ปากแห้ง ถ้ามีแผลเปื่อยในปากให้ปรึกษาแพทย์

ปัญหาจากเซลล์เม็ดเลือดแดงลดลง
เคมีบำบัดจากระบบเซลล์ปกติและไขกระดูก ไขกระดูกเป็นเนื้อเยื่ออยู่ในกระดูก ซึ่งผลิตเซลล์เม็ดเลือดทุกชนิด เซลล์เม็ดเลือดแดงนำออกซิเจนไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าเซลล์เม็ดเลือดแดงต่ำกว่าปกติ เนื่องจากเคมีบำบัดทำให้อวัยวะต่าง ๆ และกล้ามเนื้อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ สภาวะนี้เรียกว่าโรคโลหิตจาง จะมีอาการอ่อนเพลียไม่มีแรง มีความเหนื่อยอ่อน เซลล์เม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติ ความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับแบคทีเรือและไวรัสจะลดลง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อให้ล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากเข้าห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงคนหนาแน่น หรือคนที่มีโรคติดต่อพยายามอย่าทำให้เกิดบาดแผลหรือรอยถลอกที่ผิวหนัง เช่น ใช้ที่โกนหนวดไฟฟ้าชนิดใบมีดโกน ห้ามบีบแกะสิว ห้ามใช้แปรงสีฟันชนิดแข็งหรือไหมขัดฟัน ถ้ามีบาดแผลหรือถลอกที่ผิวหนังให้ทำความสะอาดด้วยสบู่และน้ำอุ่นทันที

เกร็ดเลือดช่วยทำให้เลือดหยุดไหลหลังจากได้รับบาดเจ็บ จำนวนเกร็ดเลือดอาจจะลดลง เนื่องจากเคมีบำบัดในกรณีนี้แผลบาดหรือแผลฟกซ้ำอาจเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าปกติ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเกี่ยวกับจำนวนเกร็ดเลือดต่ำห้ามใช้ยาโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์

ผมร่วง
ปกติอาการผมร่วงจะเป็นชั่วคราว ผมอาจเริ่มขึ้นระหว่างการรักษาบางครั้งผมที่ขึ้นใหม่มีสี และสภาพของ
เส้นผมต่างไปจากเดิม การทำให้หนังศีรษะเย็นลงก่อนหรือหลังการให้เคมีบำบัด ช่วยป้องกันหรือลดอาการ
ผมร่วงของผู้ป่วยบางคนปรึกษาแพทย์ว่าการทำให้หนังศีรษะเย็นเหมาะสมหรือไม่

อาการข้างเคียงอื่น ๆ
ผุ้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบอย่างสม่ำเสมอถึงการเปลี่ยนแปลงของอาการที่เกิดขึ้น เช่น รอบประจำเดือน
เปลี่ยนไป ความรู้สึกเฉพาะแห่งคล้ายมีของเหลวคั่งหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
ทันทีเมื่อมีอาการดังต่อไปนี้ ที่แสดงว่ามีอาการติดเชื้อ หรือมีเลือดไหล

- อุณหภูมิร่างกายเกิน 100 องศาฟาเรนไฮต์
- หนาวสั่น สั่น มีเหงื่อออกเวลากลางคืน
- อาการไออย่างรุนแรง หรือคออักเสบ
- คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง เป็นระยะเวลานานและควบคุมไม่ได้
- เวลาปัสสาวะมีอาการปวดแสบ
- ปัสสาวะมีเลือดปน
- เลือดออกที่เหงือก หรือจมูก หรือมีอาการเขียวช้ำ

ห้ามใช้ยาทุกชนิดรวมทั้งแอสไพริน เพื่อบรรเทาอาการไข้ และให้ปรึกษาแพทย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น