วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

สมาธิบำบัดกับการรักษาโรคมะเร็ง(4)

คนไข้ที่ผ่านจากโรงพยาบาลรัฐบาลหรือ เอกชนมาที่นี้ เราก็จะถามคนไข้ว่า คนไข้ได้รับการรักษามาอย่างไรบ้าง เช่นว่า ให้เคมีมาแล้ว ครั้งที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ครั้งที่ 1 ก็ไม่ดี WBC ขึ้น ครั้งที่ 2 ก็ไม่ดี WBC (white blood cell) ก็ยังขึ้น ครั้งที่ 3 เขาก็เปลี่ยนตัวยาไป 3 รอบแล้ว ก็ยังขึ้น แต่พอมาหาสมุนไพรปุ๊บกลับไปปั๊บ WBC ลดลงแล้ว เขาอยู่ต่ออยู่คงที่แล้ว (หมายเหตุ กลุ่มมะเร็งเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาวยิ่งมากยิ่งไม่ดี)

นี่คือเรื่องของการผสมผสาน คือเราจะไม่บอกว่าแพทย์แผนปัจจุบันไม่ดี แพทย์แผนปัจจุบันดี แต่ว่ามันต้องมีการให้มา join ร่วมมือกันได้ คือแบบตอนนี่ กระทรวงสาธารณสุขก็ไปกับหลวงตา ท่านผู้อำนวยการก็ไป join ว่าจะเอาที่อโรคยศาล วัดคำประมงเป็นศูนย์แม่แบบของการใช้สมาธิบำบัดโรคมะเร็ง เป็นแม่แบบทุกศูนย์ในประเทศไทยของทุกโรงพยาบาลในประเทศนี้ เป็นมิติใหม่ที่ดีมากของการแพทย์ เพียงแต่ว่าการแพทย์แต่ละคน เราต้องลดในการเป็นตัวตนของเราออกมาเพื่อ join กัน

เราอย่าไปถือว่าเราดีหรือเลวอะไรอย่างนี้ เราว่าประโยชน์ที่มันเกิดสูงสุดต่อผู้ป่วย ต่อประชาชน เราต้องนึกถึงประโยชน์ตรงนั้น ไม่ใช่นึกถึงตัวเรานะ ถ้าเกิดว่าไม่มีผู้ป่วยเป็นมะเร็งจะมีคุณหมอมาทำไม ก็ไม่ต้องมีหมอมา ถูกไหมเพราะมีผู้ป่วยมันถึงมีหมอ มันก็เหมือนว่าเป็นการผสมผสานกัน หลวงตาก็อยากจะทำความเข้าใจว่าไม่ให้มีความทุกข์ไม่ให้มีความเครียด ไม่ให้มีความกังวลใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งว่าเราเป็นโรคมะเร็ง แล้วค่อยๆมาตั้งสติของเราว่า เราจะดำเนินการรักษาอย่างไร แล้วก็อย่าไปฟังซ้ายฟังขวาฟังหน้าฟังหลัง คือผู้ป่วยหลายคนพออาการดีๆแล้ว ญาติก็แนะนำด้วยความหวังดีเอายาตัวนั้นไปกินนะ ญาติก็ไม่เคยกิน เลยพอกินดีๆ ก็ฟุบไปเลย มันเป็นอะไรที่ลึกลับซับซ้อนสำหรับโรคมะเร็งมาก เราต้องประเมินให้ได้ก่อนว่าคนไข้คนนี้เป็นมะเร็ง ตรงนี้ทิศทางของเขาจะเป็นอย่างไร สำหรับคนที่เป็นโรคมะเร็งมันเป็นผลข้างเคียงจากญาติ ที่สำคัญหลวงตาจะบอกญาติ บอกว่าถ้าคุณมาหาหรือมาเยี่ยมผู้ป่วย ถ้าคุณร้องไห้กรุณาไปร้องข้างนอก ถ้ามาเยี่ยมก็ยิ้มมานะ เขาไม่ต้องการที่อยากเห็นน้ำตาคุณหรอก น้ำตาเขาก็ออกมาพอแรงแล้ว คุณไม่ต้องมาเสียน้ำตาให้กับเขาซ้ำเติมเข้าไปอีก เข้าใจไหม กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ เราจะเห็นพ่อแม่ ลูก น้อง หรือพระ อย่างพระกรุงเทพดึกดื่นก็โทรไปหาหลวงตา บอกโยมเป็นมะเร็งอย่างโน้นอย่างนี้จะปรึกษาจะรักษาอย่างไร หรือส่งพระมาจากเชียงใหม่ ลำปางอะไรอย่างนี้ ก็มารักษาที่วัดได้ แม่ชีก็มารักษาที่วัดได้ ญาติโยมตั้งแต่ดร.จนกระทั่งถึงตาสีตาสาก็มารักษาที่วัดได้ มีความรู้สึกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีความรู้สึกว่าฉันจบดร.ฉันเป็นคนรวยหรือคนจน คนไหนก็มีหัวใจเหมือนกัน ทำนองนี้ เข้าใจไหม คุณหมอมี CD ช่วยดูที่ว่าสัมภาษณ์คนไข้ นี่ก็เป็นคนไข้ตัวอย่างในหลายสิบหลายร้อยตัวอย่างที่ป่วย ที่นั้นอย่างนายมังกร คนแรกค่าต่างๆเขาล้มเหลวโดยสิ้นเชิงแล้ว ทางการแพทย์นี่ล้มเหลว ตัวเหลือง ดำ หมองคล้ำหมด คันทั้งเนื้อทั้งตัว ซึ่งเราก็พยายามจะช่วยเขา เขาก็กินได้ ถ่ายได้ แต่ว่าค่าของมะเร็งมันไม่ได้ถอยให้เรา ตับมันไม่ถอยให้เรา แล้วเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว คุณมังกรหลังจากที่คุณชัยนรินท์ (ข้าราชการกรมชลประทานระดับ 9)

เขาไปถ่ายและไปสัมภาษณ์แล้ว ไม่นานเขาก็เริ่มปวดๆแบบว่าปวดขา ขาบวม ก็ปรึกษาคุณหมอศิริโรจน์บอกทำไมคุณมังกรบวมโดยไม่มีสาเหตุ บวมที่แขนบ้าง แล้วไปที่ขาบ้าง พอวันท้ายๆก็หนักขึ้นๆ ก็ไม่รู้เรื่องไม่รู้ตัว คือหมายความว่าแต่ก็ไม่ทรมาน ก็นอนสิ้นใจอย่างไม่ทรมาน ก็คือตัวอย่างของคนปวด โรคมะเร็งที่ว่าเขามีชีวิตที่มีความสุข แม้แต่ระยะสุดท้ายของชีวิตแล้วญาติๆเขาก็มีความสุข เขามาบอกหลวงตาว่าจริงๆหมอที่รพ.เขาบอกว่าตายไปนานแล้ว พอถึงหลวงตาญาติก็รู้สึกว่าทำไมมันดีขึ้น ร่างกายก็ดีขึ้น จิตใจก็ดีขึ้น มันก็ยืดชีวิตเขาต่อไป ครอบครัวเขาก็เริ่มปรับ ช่วงชีวิตเขายืดไปนี้ครอบครัวเขาก็ปรับใจเขาได้แล้วค่อยๆปรับสภาพใจของเขาได้ พอปรับสภาพใจได้ เวลาสิ้นก็ไม่เสียใจแล้ว มันไม่มีความรู้สึกนี่ไม่ใช่การสูญเสีย และเขาจะขอบใจหลวงตาพากันมาเป็นครอบครัว มาขอบใจที่หลวงตาช่วยชีวิตเขา ช่วยให้เขาเข้าใจชีวิตมากขึ้น คนเราก็ต้องเป็นอย่างนี้ละนะ และเวลาตายเขาก็ยังเข้าฝันอีก เข้าฝันคนไข้อยากจะมาอยู่กับหลวงตาอีกแม้กระทั่งตาย มีคนอยากมาอยู่กับหลวงตาอีก ซึ่งจะเป็นอย่างนี้มากเลยซึ่งผู้ดูแลผู้ป่วยเขาจะได้สัมผัสเยอะตรงนี้ บางคนเขามาเคาะประตูเรียกเดี๋ยวซักพัก เมียโทรมาบอกพี่ตายแล้ว คือเรื่องจิตวิญญาณพิสูจน์ไม่ได้ แต่ว่าใครอยากไปพิสูจน์ก็ไปอยู่กับหลวงตาได้ หลวงตาต้องการอาสาสมัครต้มยาอะไรอย่างนี้ ยากับการรักษามีรายละเอียดเยอะมากอาจจะต้องมีการบรรยายครั้งที่ 2 และ 3 ก็ได้

นพ.ศิริโรจน์: จริงๆแล้วมันเป็นอุบายอย่างหนึ่ง ผมหมอแผนปัจจุบันเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ครับ เราจะคิดถึงว่าอะไรที่จับต้องได้ถึงจะเชื่อเอง บางอย่างจับต้องไม่ได้มันจะต้องจับต้องได้ก่อนแล้วถึงจะเชื่อ ใช่ไหมครับ อย่างพูดถึงนิพพานมีจริงไหม เชื่อไหม เรายังไม่ได้ผ่านจุดนั้น บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ แต่คนปฏิบัติไปถึงตรงนั้น เขาก็ต้องเชื่อว่ามีใช่ไหม เรื่องของสมาธิบำบัดกับสมุนไพร ผมคิดว่ามันมาจากตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คือไม่มีใครมารักษาใครได้ครับ แต่ว่าการที่ต้มยา มีฤกษ์มียาม บางคนก็สงสัยว่าเป็นพิธีพราหมณ์หรือเปล่า ทำฤกษ์ยามลักขณาเกี่ยวข้องกันกับการรักษา เขาไปเชื่อมโยงกันอย่างไร จริงๆแล้วมนุษย์กับดวงดาวเกิดขึ้นมาพร้อมกัน ผมจะเท้าความไปหมื่นๆ ล้านปี คือจุดเล็กๆเกิดระเบิดขึ้นมาครั้งใหญ่แล้วก็เกิดกาแลคซี นึกภาพกาแลคซีออกไหม เยอะแยะเลยครับ มีประมาณ 11 แสนล้านกาแลคซี ในแสนล้านกาแลคซีมีดวงดาวแสนล้านดวงดาว ฉะนั้นมนุษย์ก็เกิดมาจากดวงดาว ปฏิกิริยาของดวงดาวกับชีวิตมนุษย์มันเป็นสิ่งที่เขาค้นพบกันมานานแล้ว เพียงเราเชื่อมโยงไม่ถูกเองครับ ว่ามันจะดูดวงมันมีเหตุผลนั้น หาช่วงที่มีพลังที่สุดมาช่วยกันในการทำให้โลกนั้นดีขึ้น เขาถามว่าเวลารักษาโรคพฤติกรรมเราดีขึ้นไหมครับ คนที่สูบบุหรี่ กินเหล้า ก็เลิกใช่ไหมครับ คนที่กินอาหารที่เป็นสารพิษ เลิกไหมครับ เลิกครับ เขาได้สวดมนต์ทำสมาธิจิตใจเขาดีขึ้นไหมครับ เขาก็ดี อันนี้ก็เป็นกลไกทั้งหมด ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันที่มาคอยปกป้องมะเร็งในตอนที่เรายังไม่ป่วย ระบบภูมิคุ้มกันมันดีอยู่ เวลาเราช่วยมันเสียไปแล้ว แต่เมื่อเราดำเนินพฤติกรรมต่างก็คืนมา ระบบภูมิคุ้มกันมันจะฟื้นขึ้นมา มันจะควบคุมมะเร็งได้ มันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยครับ ถ้าเป็นมากมันก็ไม่หายครับก็ดีขึ้น ถ้าเป็นน้อยๆก็อาจหายได้ ขอเปิดคำถามจากผู้เข้าฟังเลยครับ

คำถาม : หลวงตาเป็นมะเร็งระยะที่เท่าไหร่ แล้วรักษาหายได้อย่างไร

หลวงตา : คือตอนที่เป็นมะเร็งเป็นปี 2519 ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นมะเร็งและไม่รู้จักคำว่ามะเร็งด้วย ไม่คิดมะเร็งมันคืออะไร แล้วก็อยู่ๆตอนตี 3 ลุกมาสวดมนต์ นั่งสมาธิไหว้พระตามปกติ พอวันนั้นเค้าพิเศษเป็น วันสงกรานต์ 11 เมษายน 2539 มันก็จามอกมา จามออกมาเลือดก็เต็มกระโถน โอ๊ย เราเป็นอะไรนี่ เป็นอะไรปุ๊บ หลวงตาก็มีหมอประจำตัวอยู่ รพ.สมิติเวช ซึ่งดูแลเรื่องป่วยไข้มานาน พอสุดท้าย หลวงตาต้องไปตัดชิ้นเนื้อ คือส่องกล้องเข้าไปสายเข้าไปและไปตัด ตัดปุ๊บ 15 วัน พอวันไปฟังผล หมอนัดไปฟังผล เราก็ไปนั่งรอ หมอเค้าบอกว่าเป็นมะเร็ง เอ้อ เราก็ไม่เสียใจ เราก็แจ๊คพ๊อดโว้ย หัวเราะ คนอื่นตั้งแยะไม่เป็นเราเป็น ปุ๊บโทรหาพี่สาวที่เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์หญิงเกสร วัชรพงษ์ อยู่จุฬา เป็นอาจารย์หมอจุฬา ตอนนี้เป็นคุณหญิง เขาก็พาไป Bangkok Nursing Home ไปทำ Clinic อยู่ที่นั้น เขาก็นำเข้าเครื่องเช็คด่วนเลย เขาพูดคำเดียวว่าเป็นมากแล้วทำไมเพิ่งจะมาบอก เราคิดในใจว่าใครจะไปรู้ได้ว่ามันเป็นมะเร็ง พอรู้ก็เข้าจุฬา พี่สาวอยู่จุฬา เค้าจบจุฬา ก็เข้าจุฬาเลย พี่สาวมีอาจารย์แพทย์ที่เป็นลูกศิษย์พี่สาวเป็นคนดูแล เขาก็ลุยเลย ทั้งฉายแสง โอ้โฮ สุดๆจริงๆ ไม่แค่ฉายแสงอย่างเดียว เอาเคมีให้อีกทุกวันเลย แต่ว่าความเจ็บ ความปวด หลวงตารู้ซึ้ง หลวงตาถึงเมตตาสงสารผู้เป็นมะเร็ง เพราะว่ามันรู้ซึ้งแล้วว่า มันปวดทรมานทุกขุมขน ลองคิดดูซิว่าทำอย่างไร ถ้าไม่ใช้สมาธิ ถ้าเกิดใครเคยให้เคมีรู้เลย ฉีดยาเข็มที่ 1 และก็ความเจ็บปวด มันวิ่งจู๊ดเลย เรียกว่าสมาธิมันต้องไปถึงหัวใจเลย พุทโธแบบสุดๆ ไม่ว่าใครมาไม่ต้องพูดด้วยแล้ว หลับตาพุทโธอย่างเดียว นี้คือการเจ็บปวดของมะเร็ง แล้วยังจะมีแสงอีก ฉายแสงแล้ว ฉายอีก คือหลวงตาต้องกินน้ำเยอะ น้ำลายมันหายไปขนาดเป็นใบ้ก็แล้วกัน พูดไม่ได้เป็นเดือน ก็พอเจ็บปวดขนาดนี้จนกระทั่งพอครบเสร็จแล้ว หมอยังมาถามอีกว่าเดี๋ยวผมจะให้ course ใหญ่อีก ท่านสู้ไหวไหม ไอ้ course ใหญ่ของเขาคืออะไร ไอ้เรานักสู้เอาอะไรบอก ใหญ่ขนาดไหนก็เอาว่ะ โอโฮเท่านี้ตลอดวันตลอดคืนเลยเป็นอาทิตย์ เคมีบำบัด คิดดูตลอดวันตลอดคืนเป็นอาทิตย์ มะเร็งมันขนาดไหนช่วยให้คำตอบหน่อยซิ แล้วจนกระทั่งสุดท้าย หลวงตาสละ คือ กูยอมตายดีกว่า กูยอมตายแล้ว พันล้านมากองข้างหน้า กูก็ไม่สนใจแล้ว ยอมตายก็คือหลุดเลยไง พอยอมตายก็คือหลุดจากโลกเลย แล้วก็มาผสมผสานด้วยสมุนไพร เพราะว่าพอออกจาก รพ.ปุ๊บพูดเหมือนสั้นนะแต่มันยาว

พอออกจากรพ.ปุ๊บ เอ๊ะก็รักษาด้วยวิธีนี้ก็ยังกินข้าวไม่ได้ กินน้ำก็ยังไม่ลง ลุกขึ้นมานั่งสมาธิตั้งแต่ตี 3 ยัน 6 โมง เลือกเลยนะตำราสมุนไพรเล่มขนาดนี้ หลวงตาศึกษาจบเลย และได้สูตรยามาแล้วที่ให้นี้ช่วยได้ เช้ามาจด ให้แม่ชีไปจัดการหายา เชื่อไหม 4 ทุ่มได้ฉันยา แก้วแรกหม้อแรกหายใจออก เช้าฉันข้าวได้เลย นี้ล่ะคือต้องมีหัวใจสวดเสกคาถา เพราะยาสมุนไพรตำราโบราณนี้เขาเป็นปึกเลยนะ ต้องใช้คาถา วิชาอะไร ทำบุญ ทำใจอย่างไร ขั้นตอนมันมีอยู่แล้ว ถ้าพวกเราสนใจศึกษาค่อยๆลงไปลึกๆอีกทีหนึ่ง การแพทย์ทางเลือก เข้าใจไหม มันเป็นอะไรอย่างหนึ่งและพออย่างนั้นมา มันก็ทำให้ร่างกายเราดีขึ้น แต่ว่าเราก็ยังพูดไม่ได้ เลือดก็ยังออก เลือดมันออก เลือดมันก็ยังเป็นเลือดอยู่ เราก็ทำสมาธิไปเรื่อยๆๆๆจนกระทั่งเลือดหายไป นี้ก็คือผลแห่งการใช้สมาธิมาช่วยในการเชื่อมโยง ระหว่างโรค เชื่อมโยงระหว่างยาสมุนไพร ยาทางเลือกแพทย์แผนปัจจุบัน คุณหมอจบจากจุฬาฯก็จะเก่ง และอีกอย่างที่เป็นตัวเลือก แล้วแต่บุญวาสนาของคนไข้ด้วย ถ้าคนไข้คนไหนไปเจอคู่บุญวาสนาของเขาเองนะ คุณหมอต้องเป็นคู่บุญด้วย เอ้า อีหลี ภาษาอะไรนี่ มันต้องคู่บุญไง ใช่ไหม เจอหมอบางคน อย่าลืมว่าเราไม่ประมาทหมอนะ หมอแต่ละคนประสบการณ์ ทักษะ หัวใจ ก็ไม่เท่ากัน คำนวณก็ไม่เท่ากัน ใช่ไหมคุณหมอ การคำนวณยา การให้เคโมมันจะไม่เท่ากันเลย มันจะมีความละเอียด ความลึกซึ้ง ความชำนาญ แตกต่างกันตรงนี้ละ แล้วแต่ใครจะเจอ แล้วแต่โชคใครโชคมันเด๋อ ข้อต่อไปคุณหมอมีอะไรอีก เข้าใจหรือยังตรงนี้

นพ.ศิริโรจน์: (คำถามต่อไป) ผู้หญิง 31 ปี บอกว่ารับประทานยากับสารเคมีมาตลอดชีวิตจนถึงปัจจุบัน กราบนมัสการถามว่าจะมีผลร้ายกับร่ายกายกับไตอย่างไร และหลวงตาจะช่วยได้อย่างไรค่ะ

หลวงตา : สารเคมีนี้หลวงตาเคยเจอวิศวกรแทนทาลัม ซึ่งเรียนวิศวะเคมีมาตลอดเวลาที่เรียนวิศว ทำงานโครงการยางก็ต้องใช้เคมี ตลอด 19 ปี เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเป็นมะเร็ง มารู้ตัวเมื่อมะเร็งมันกินปอดลามไปกระดูกแล้ว พอมาถึงหลวงตานี่ เขาหาเว็บไซต์หลวงตา ถามทำไมหนูจึงมาหาหลวงตา ก็หนูไปรักษามาจนหมดที่แล้ว จุฬาก็ไปมาแล้ว ไปมาหมดแล้ว ให้กินยาวันละเม็ด เม็ดละพัน สองพัน สามพันบาท ต่อวันกินเข้าไปขาก็กระเด้งดึ๊งๆอย่างนี้ มันไม่อยู่เลยคุณหมอ พอสุดท้ายตอนเขามาหาหลวงตาเขาร้องไห้มาเลย เขาทำใจอะไรไม่ได้เลย อายุประมาณ 40 นี่ก็เป็นวิศวกร น้องชายสามีก็วิศวกร พอสุดท้ายหลวงตาจูนหัวใจเขาได้ จูนหัวใจได้อย่างไร คือให้เขารับความจริงว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขา สิ่งที่เขาชนะได้คือหัวใจเท่านั้น ร่างกายต้องให้เขาเป็นตามสภาพแล้วเขาอยู่กับหลวงตาอาทิตย์หนึ่งจิตใจเขาเข้มแข็ง เขาเขียนจดหมายถึงสามี เขียนพินัยกรรมถึงลูก และก็โทรมาหาหลวงตาว่าหนูทำใจได้แล้วหลวงตา หนูไม่ห่วงอะไรแล้ว หนูพร้อมที่จะไป ปัจจุบันนี้ต้องใช้พยาบาลแล้ว แม้แต่อึ แม้แต่ทำอะไร คือหัวใจเขาอยู่ได้แล้ว ไงแล้วเขาก็ไปอย่างมีความสุข ซึ่งผิดตั้งแต่แรกที่มาร้องไห้ ลูกสาวยังเล็ก สามีก็ยังเพิ่ง 40กว่าๆ กำลังก้าวหน้าในการงาน แล้วทำไม ก็นี่คือเคมีมันมีผล เดี๋ยวเชิญคุณหมอพูดเชิงวิทยาศาสตร์อีกทีหนึ่ง

นพ.พรเลิศ : ยากับสารเคมีที่เราใช้กันส่วนใหญ่มันก็ต้องผ่านการศึกษามาแล้ว เริ่มต้นในสัตว์ทดลองแล้วถึงจะมาในคนปกติที่เป็นอาสาสมัครและถึงในคนป่วย ซึ่งในระดับหนึ่งก็ต้องผ่านขั้นตอนนั้นแล้ว พบว่าไม่มีปัญหาถึงจะมาให้ใช้กันได้ แต่ว่ายาทุกอย่างมันคงจะมาปรับสมดุลในร่างกายเรา ซึ่งบางครั้งในการศึกษายาบางอย่าง มันอาจจะใช้ในคนเป็นร้อยเป็นพัน แต่พอใช้ในประชากรที่เป็นแสน เป็นล้านคน ก็จะมีบางตัวซึ่งพอใช้ปุ๊บจากการติดตามแล้ว เราก็พบว่ามันมีผลทำให้เกิดปัญหาบางอย่างได้ ก็ต้องถูกถอนจากตลาดก็มี เพราะฉะนั้นจริงๆแล้ว เราก็คงใช้ตามหลักฐานและความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์บอก แต่ว่าคงไม่สามารถรับประกันถึงว่าในระยะยาวในการที่ใช้ยาตัวอื่นจะมีผลอย่างไร ความแตกต่างมันยังไม่มี จึงคงจะตอบไม่ได้ทั้งหมด

หลวงตา : นี่ไงที่เรียกว่าตอนที่คนเมื่อกี้ถามว่า หลวงตาจะมีวิธีรักษาอย่างไรที่ต้องรับเคมีมาตลอด พอมาถึงหลวงตาแล้ว ขอให้ดูหน้าก่อนคนนั้นหน้าตา พอจะไปวัดไปวาได้ จะได้ล้างพิษก่อนไง ล้างพิษด้วยสมุนไพร และค่อยต้มยา ค่อยๆล้างทีละอย่าง คือสมุนไพรต้องใจเย็น อย่าใจร้อน เพราะมันค่อยซึมซับเข้าไปนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น