วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

“ไฝ”แบบไหน อาจกลายเป็นมะเร็ง

 
 
 
ไฝ หรือขี้แมลงวัน เป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้ตามผิวหนังของทุกคน ทุกอายุ ส่วนใหญ่แล้วไม่มีอันตราย

ไฝเกิดจากการรวมกลุ่มกันของเซลล์ผิวหนัง ซึ่งสร้างสารสีดำ(melanin) ทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังจากรังสีอัลตราไวโอเลต

จะมีบางภาวะที่เซลล์ผิวหนังมีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ กลายเป็นมะเร็งของผิวหนังได้ ทั้งนี้ สาเหตุที่แน่นอนนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการที่ผิวหนังถูกกับสิ่งกระตุ้นต่างๆ เป็นเวลานานๆ เช่น ถูกแสงแดดจัดๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานแรมปี หรือถูกสารเคมี เป็นต้น

ในบางครั้ง ไฝที่เป็นอยู่ปกติ หากถูกถูไถ เช่นตามขอบเสื้อ ขอบกางเกง เป็นเวลานาน อาจมีการกลายเป็นมะเร็งได้

นอกจากนี้ หากพบไฝหรือปานที่เปลี่ยนแปลงขนาดไปจากเดิม โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปาก ในปาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า จะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ

หากมีไฝที่ไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานเกิน ทั้งนี้ เพราะว่ามะเร็งผิวหนังในระยะแรกสามารถรักษาให้หายได้ แต่หากปล่อยไว้นาน โรคอาจจะกระจายออกไป ทำให้ยากแก่การรักษา

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 141 กันยายน 2555 โดย รศ.นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล)


มะเร็งตับ

มะเร็งตับ

มะเร็งตับ มะเร็งตับ เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้ชายและอันดับ 3 ในผู้หญิงรองจากมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านมตามลำดับ สามารถแบ่งชนิดของมะเร็งตับได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่

Hepatocellular carcinoma หรือมะเร็งของเซลล์ตับ

เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุด มากกว่าร้องละ 70-80 ของมะเร็งตับ
Cholangiocarcinoma หรือมะเร็งท่อน้ำดี

เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ท่อน้ำดี พบได้บ่อยในผู้ป่วยแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ


ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่ ผู้ที่มีพยาธิใบไม้ในตับ นิ่วในถุงน้ำดี พบประมาณร้อยละ 10-20% ของมะเร็งตับ
Angiosarcomas หรือ hemangiosarcomas หรือมะเร็งเส้นเลือดในตับ เกิดจากเซลล์หลอดเลือดในตับ พบมากในผู้ป่วยที่สัมผัส
สารเคมีจำพวก vinyl chloride หรือ thorium dioxide ที่ใช้ในงานพลาสติก เป็นมะเร็งชนิดที่พบน้อย
Hepatoblastoma หรือมะเร็งของเซลล์ตับตัวอ่อน เป็นมะเร็งพบในเด็กเป็นส่วนใหญ่
นอกจากนี้ ยังสามารถแบ่งการเกิดของโรคมะเร็งตับ ได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่

มะเร็งปฐมภูมิ เป็นชนิดที่เกิดกับตับโดยตรงมักเกิดในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับมาก่อน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มี
ประวัติเป็นโรคตับแข็ง มีประวัติเป็นโรคตับอักเสบหรือเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ
มะเร็งทุติยภูมิ เป็นมะเร็งที่ลุลามมาจากมะเร็งที่อวัยวะอื่น เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งปอด เป็นต้นมะเร็งที่เกิด
ในอวัยวะอื่นเมื่อถึงความรุนแรงระดับหนึ่งก็จะมีการกระจายมาตามหลอดเลือดหรือหลอดน้ำเหลือง แล้วมาเจริญเติบโตอยู่ในตับ
หมายเหตุ ในที่นี้จะกล่าวถึงมะเร็งตับปฐมภูมิชนิดที่เป็นมะเร็งเซลล์ตับเป็นหลัก เพราะพบได้บ่อยกว่ามะเร็งตับปฐมภูมิชนิดอื่นๆ
ดังนั้นคำว่ามะเร็งตับในที่นี้จึงหมายถึง “มะเร็งเซลล์ตับ”

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดมะเร็งตับ

ผู้ที่เคยเป็นโรคตับอักเสบอันเนื่องมาจากไวรัสตับอักเสบชนิด บี และ ซี พบว่าหากเป็นเรื้อรังจะพบว่ามีอัตราการเกิดมะเร็งตับสูง
ผู้ป่วยภาวะตับแข็ง ซึ่งอาจเกิดจากไวรัส หรือสาเหตุอื่นๆ โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์ทุกวัน ติดต่อกันเป็นระยะเวลาหลายปี
การรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของสาร Aflatoxin ซึ่งเป็นสารที่ผลิตจากเชื้อราชนิดหนึ่ง มีมากในอาหารพวก ถั่ว
แป้งสาลี ข้าวโพด ข้าว พริกแห้ง ที่เก็บเอาไว้เป็นระยะเวลานานๆ และนำมารับประทานโดยไม่ผ่านความร้อน
ผู้ป่วยที่เป็นพยาธิใบไม้ในตับ ทำให้เกิดการอุดตันที่ท่อน้ำดีภายในตับ หรือมีการเพิ่มของเนื้อเยื่อพังผืดในท่อน้ำดีจากพยาธิ
ใบไม้ในตับ มักเป็นสาเหตุสำคัญเกิดมะเร็งท่อน้ำดี
การได้รับสาร vinyl chloride เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งเส้นเลือดในตับ
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่พบได้ แต่ไม่ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงชัดเจนมาก เช่น โรคเบาหวานที่มีไขมันสะสมในตับมาก การสูบบุหรี่ เป็นต้น
อาการและสัญญาณ

เบื่ออาหาร ท้องอืด จุกเสียด ท้องผูก ปวดแน่นท้องบริเวณด้านขวาหรือบริเวณลิ้นปี่หรืออาจปวดร้าวไปที่หัวไหล่ขวา
อ่อนเพลีย น้ำหนักลด และมีไข้ต่ำๆ ผื่นคันตามมือเท้าและที่ผิวหนัง
ปวดหรือเสียดชายโครงด้านขวา อาจปวดร้าวไปที่ไหล่หรือลำตัวซีกขวา
อาจคลำพบก้อนในท้องใต้ชายโครงขวาหรือลิ้นปี่
ท้องมวน ท้องโต บวมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง
ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเหลือง


การตรวจคัดกรองประกอบการวินิจฉัย มะเร็งตับ

ตรวจเลือดดูระดับ AFP (Alpha Feto Protein) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง โปรตีนชนิดนี้จะไม่ถูกพบในคนปกติที่มีอายุมากกว่า 1 ปี
(มีพบในเลือดของทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 1 ปี)
การตรวจทำอัลตราซาว์ด เป็นการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ใช้ในการตรวจเบื้องต้น เพื่อดูการเติบโตที่ผิดปกติในตับได้
การใช้ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computer Tomography Scan) หรือบางครั้งอาจใช้การตรวจด้วยคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า
(MRI) ซึ่งจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมมากขึ้น
การตรวจด้วย PET/CT เป็นการตรวจที่รวมกันระหว่างการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์กับการตรวจพิเศษด้านเวชศาสตร์
นิวเคลียร์ที่เรียกว่า PET Scan
การตรวจชิ้นเนื้อของตับ (Biopsy) เป็นการนำชิ้นเนื้อบางส่วนของก้อนเนื้อ ไปตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อดูลักษณะเซลล์
นอกจากนี้ยังอาจมีการตรวจอวัยวะอื่นๆเพิ่มเติม เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไม่มีการกระจายไปยังอวัยวะที่สำคัญ เช่นการเอกซเรย์ปอด
และการสแกนกระดูก (Bone Scan)



การรักษาโรคมะเร็งตับชนิดเฮ็บปาโตม่า (Hepatoma หรือ Hepatocellular carcinoma)

การรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆเข้ามาประกอบ การรักษาโรคมะเร็งตับชนิดเฮ็บปาโตม่าที่มีในปัจจุบันได้แก่

วิธีการผ่าตัด สามารถผ่าได้ทั้งซีกขวาหรือซ้าย หรือเฉพาะกลีบของตับ (segment) ขึ้นกับขนาดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง
มักทำในกรณีที่ตับของคนไข้ยังสามารถทำงานได้ดี
การผ่าตัดเปลี่ยนตับ ทำในผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งไม่ใหญ่มากและยังไม่มีการกระจายของมะเร็งไปที่อวัยวะอื่น สามารถทำได้ใน
ผู้ป่วยที่มีภาวะตับแข็ง มีภาวะการทำงานของตับไม่ดี มีตาเหลือง บวม หรือ มีน้ำในท้อง ซึ่งไม่สามารถให้การรักษาด้วยวิธีการอื่น
การทำลายมะเร็งเฉพาะที่ด้วยการฉีดแอลกอฮอล์ (alcohol injection) ใช้ในมะเร็งที่มีขนาดเล็ก
โดยใช้เข็มเล็กๆแทงผ่านทางผิวหนังเข้าไปที่ก้อนและฉีดแอลกอฮอล์เข้าไปบริเวณก้อน
การทำลายมะเร็งเฉพาะที่ด้วยการใช้ความเย็นหรือความร้อน ทำให้เนื้อเยื่อของมะเร็งและตับโดยรอบถูกทำลายไป วิธีที่นิยมใช้กันมาก
คือ การใช้คลื่นเสียงหรือคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency) หรือมักเรียก “อาเอฟเอ (RFA หรือ Radiofrequency ablation)”
ทำโดยแทงเข็มผ่านผิวหนังไปที่ก้อนมะเร็ง จากนั้นจะปล่อยคลื่นเสียงจากบริเวณส่วนปลายของเข็ม ก่อให้เกิดความร้อนโดยรอบ
ทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อมะเร็งที่ความร้อนไปถึง
การฉีดยาเคมีบำบัดเข้าหลอดเลือดแดงที่ตับโดยตรง หรือที่เรียกว่า วิธี “ทีโอซีอี (TOCE หรือ Transcatheter oily chemoembolization) หรือ ทีเอซีอี (TACE หรือ Trans-arterial chemoembolization) คือวิธีการให้ยาเคมีบำบัดหนึ่งถึงสองชนิดผ่านทางสายสำหรับให้ยา โดยการสวนสายเข้าทางหลอดเลือดแดงเข้าไปยังบริเวณหลอดเลือดที่เลี้ยงก้อนมะเร็ง
หลังจากนั้นจะทำการอุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งด้วยสารบางชนิด มีผลทำให้ก้อนมะเร็งขาดเลือดไปเลี้ยง วิธีการนี้จะทำได้
ในกรณีที่ หลอดเลือดดำพอร์ทอลของผู้ป่วยยังทำงานได้ดีอยู่

การให้ยาเคมีบำบัด (systemic chemotherapy) เหมือนกับการให้ยาเคมีบำบัดทั่วไป คือ ให้ทางหลอดเลือดดำที่แขน ยาเคมีบำบัด
จะเข้าไปในทุกส่วนของร่างกาย สำหรับมะเร็งตับเอง ผลของการรักษาไม่ค่อยจะได้ผลดีเท่าที่ควร เนื่องจากเนื้อเยื่อมะเร็งเฮ็บปาโตม่า
มักไม่ค่อยจะตอบสนองต่อยา ยาส่วนใหญ่ยังอยู่ในระยะการวิจัย หรือ ให้เพื่อประทังไปก่อน
การรักษาแบบมุ่งเป้าไปยังยีนหรือโปรตีนที่ก้อนมะเร็งใช้ในการเจริญและแบ่งตัวหรือที่เรียกกันว่า “ทาร์เก็ทเต็ดเทอราปี่
(Targeted Therapy)” โดยยาจะไปมีผลต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและยับยั้งการเจริญของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง
ทำให้เซลล์มะเร็งขาดอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยง ยาที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นยาเม็ดรับประทาน ยาประเภทนี้ไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยหาย
ขาดจากโรค แต่จะช่วยไม่ให้โรคกระจายไปเร็ว และช่วยยืดชีวิตผู้ป่วยได้
การรักษาตามอาการเพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องทำการรักษาเฉพาะตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด เมื่อมะเร็งนั้นเป็น
มากไม่สามารถให้การรักษาด้วยวิธีการอื่นแล้ว
การดูแลตนเองหลังการรักษา

สังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่างและหลังได้รับการรักษา เพื่อแจ้งให้แพทย์ทราบประกอบการพิจารณาการรักษาของแพทย์
หากมีความผิดปกติที่รุนแรงควรแจ้งให้แพทย์หรือผู้ดูแลให้ทราบทันที ตัวอย่างอาการผิดปกติได้แก่ มีไข้สูง ปวดท้องอย่างรุนแรง
คลื่นไส้อาเจียนมาก ท้องเสียรุนแรง มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ เป็นต้น
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ข้าวกล้อง ผักใบเขียวแต่หากมีอาการท้องอืดมาก ควรเลือกผักที่ไม่มีเส้นใยมากนัก เช่น
กะหล่ำปลี ผักบุ้งจีน ผักกาดขาว เป็นต้น ผลไม้ หรือน้ำผลไม้ รับประทานอาหารที่สุกสะอาดปราศจากสิ่งปนเปื้อนและสารพิษ
ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ ไม่ควรฝืนออกกำลังกายอย่างหนัก หรือเล่นกีฬาที่มีการแข่งขัน
หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูง คลื่นไส้อาเจียนมาก ท้องเสียหรือปวดท้องอย่างรุนแรง มีจุดเลือดออกตามผิวหนังหรือมีเลือด
ออกจากอวัยวะต่างๆ ให้รีบไปพบแพทย์

การเจริญสติ-สมาธิ ช่วยรักษาโรคมะเร็ง

โรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการตายอันดับหนึ่งหรือสองของคนในโลกปัจจุบัน มะเร็งยอดฮิตที่พบบ่อยๆ คือ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ ในสุภาพสตรีก็มีมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น

มะเร็งเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆหลายอย่าง เช่น พันธุกรรม การรับประทานอาหารที่มีสารก่อมะเร็งเจือปน สารพิษในสิ่งแวดล้อมหรือในอาชีพการทำงาน การขาดการออกกำลังกาย การดื่มเหล้าและสูบบุหรี่เป็นประจำ ความเครียดในชีวิตประจำวัน การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เป็นต้น

อาการที่ทำให้สงสัย และนำผู้ป่วยมาพบแพทย์ เช่น คลำได้ก้อนผิดปกติตามที่ต่างๆ เช่น เต้านม ข้างลำคอ ขาหนีบ ในท้อง มีอาการเป็นแผลเรื้อรังในปากหรือตามผิวหนัง รักษาแล้วมากกว่า 2-4 อาทิตย์ก็ยังไม่หาย มีน้ำนมหรือเลือดออกมาจากหัวนม มีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ท้องอืด ท้องแน่น ถ่ายเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด ไอเป็นเลือด โดยไม่มีอาการเจ็บปวดอะไร

โดยเฉพาะผู้สูงอายุเมื่อมีอาการเหล่านี้ ก็ต้องตรวจว่าสาเหตุมาจากอะไร เมื่อพบว่าเป็นมะเร็ง แพทย์ก็จะต้องแจ้งให้ทราบ ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหามาก เพราะผู้ป่วยจะใจเสีย หวาดกลัว ท้อแท้สิ้นหวัง เครียด ซึมเศร้า และต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่นาน กว่าจะยอมรับและเข้ารับการรักษา

การรักษาในปัจจุบันก็ใช้วิธีผ่าตัด ให้เคมีบำบัด ฉายรังสี ซึ่งจะได้ผลดีในระยะแรกเมื่อมะเร็งยังไม่กระจาย แต่การรักษาก็มีผลข้างเคียงมากตั้งแต่เจ็บปวด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผมร่วง วิตกกังวล นอนไม่หลับ เป็นต้น

ปัจจุบันมีนักธรรมชาติบำบัดทั้งหลาย ใช้วิธีการหลายอย่างร่วมกับการรักษาของแพทย์ เช่น อาหารต้านมะเร็งชนิดต่างๆ การออกกำลังกาย น้ำข้าว น้ำผักผลไม้ สมุนไพร ฯลฯ

นอกจากเรื่องอาหารและการออกกำลังกายแล้ว ในเรื่องจิตใจ การฝึกสมาธิและการเจริญสติก็ได้รับความนิยมมาก ผู้เขียนขอกล่าวถึงงานของ ดร.ซูวาน บาวเออร์ วู (Susan Bauer Wu) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านพยาบาล แห่งมหาวิทยาลัยอีโมรี เมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เธอได้ศึกษาวิธีการเจริญสติเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยโรคมะเร็ง และพบว่าวิธีการเจริญสติช่วยให้ผู้ป่วยมีสภาพจิตใจดีขึ้น อาการวิตกกังวลต่างๆลดลง อาการปวดลดลง การนอนหลับดีขึ้น คุณภาพชีวิตทั่วไปก็ดีขึ้นด้วย

ดร.ซูซาน มีโอกาสเข้าฝึกอบรมการเจริญสติ โปรแกรม Mindfulness-based stress reduction ของ ศ.จอน คาแบค ซิน และหลักสูตรครูผู้สอนการเจริญสติแบบเข้มข้น เธอผ่านการฝึกการเจริญสติมานาน มีความชำนาญในการนำการเจริญสติมาใช้ในผู้ป่วยมะเร็ง

เธอเล่าหลักการและวิธีการที่นำมาใช้ในผู้ป่วยไว้ในหนังสือชื่อ Leaves falling gently ซึ่งนอกจากเธอจะสอนนักศึกษาพยาบาลในมหาวิทยาลัยแล้ว ยังได้รับเชิญไปสอนในสถานปฏิบัติธรรมด้วย เช่น สถาบันอุปายา ในหลักสูตรการเตรียมตัวตายแบบพุทธ ชื่อว่า Being with dying Program สถาบันแห่งนี้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมแบบพุทธนิกายเซน ซึ่งรวมเอานักวิชาการชั้นนำ แพทย์ นักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา นักการศึกษา ที่สนใจในเรื่องการเจริญสติมาสอนในหลักสูตรต่างๆของสถาบัน

ท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปฟังคำบรรยายของเธอใน youtube จะมีให้ฟังหลายตอนที่น่าสนใจ เช่น 2011 Scientific conference – Susan Bauer-wu Ph D., Mindfulness for cancer patient, Leaves Falling Gently : Mindfulness book.

อีกท่านหนึ่งที่นำการใช้สมาธิมาบำบัดโรคมะเร็งก็คือ ดร.เอียน กอว์เลอร์ (Ian Gawler) สัตวแพทย์ชาวออสเตรเลีย ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งที่กระดูกชนิดร้ายแรงเมื่ออายุ 24 ปี โดนตัดขาไปข้างหนึ่ง ตอนนั้นมะเร็งยังไม่ลุกลามมาก หมอบอกว่า โรคนี้มีคนไข้ร้อยละ 5 เท่านั้นที่อยู่ได้ถึง 5 ปี

ต่อมาอีกราวปีเศษๆ เขาไอเป็นเลือด หมอบอกว่ามะเร็งได้ลามไปที่ปอดแล้ว และจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 6 เดือนเท่านั้น!!

เขาและเกล ผู้เป็นภรรยา ได้พยายามหาวิธีที่จะเอาชีวิตรอดจากมะเร็ง โดยการหาความรู้จากที่ต่างๆ รวมทั้งอ่านหนังสือแนวธรรมชาติบำบัดอย่างมากมาย แล้วนำมาทดลองปฏิบัติอย่างจริงจัง จนกระทั่งก็ประสบความสำเร็จ หายขาดจากมะร็ง เมื่ออายุ 38 ปี

เขาจึงได้ตั้งมูลนิธิกอว์เลอร์ เพื่อคนไข้โรคมะเร็ง แห่งออสเตรเลีย ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร มีการจัดโปรแกรมสุขภาพเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง และโรคอื่นๆ รวมทั้งโปรแกรมอบรมให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลสุขภาพตนเอง

นอกจากนั้น ยังมีโปรแกรมอบรมสำหรับแพทย์และเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพ ในการดูแลผู้ป่วย (ผู้สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน www.gawler.org)

สำหรับวิธีการของกอว์เลอร์นั้น เขาใช้อาหารที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้สด น้ำผักและผลไม้ การสวนล้างพิษทางทวารหนัก การให้วิตามินและเกลือแร่ทดแทน ส่งเสริมระบบการย่อย โดยการให้เอนไซม์จากตับอ่อน และกรดในกระเพาะอาหาร เรียนรู้การมีทัศนคติทางบวกในการรับประทานอาหาร และรับประทานอาหารอย่างมีความสุข โดยใช้แนวอาหารแบบเกอร์ซันเป็นต้นแบบ

เขาเน้นมากในเรื่องสมาธิ ฝึกความผ่อนคลาย การคิดในทางบวก จินตนาการบำบัด การฝึกการหายใจแบบโยคะ เขากล่าวว่า สมาธิช่วยเปลี่ยนชีวิตของเขา เป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์มากที่สุดสำหรับชีวิต มันช่วยลดความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญของมะเร็ง เขาพบว่า การฝึกสมาธิวันละ 10-20 นาที วันละ 3 เวลา ในเวลา 1 เดือนก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพอย่างมากมายในผู้ป่วยมะเร็งที่เขาดูแลอยู่

ปัจจุบัน เขาเดินทางไปทั่วโลก เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการบำบัดโรคมะเร็ง และได้เขียนหนังสือให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการสู้กับมะเร็ง ชื่อ You can conquer cancer ซึ่งจำหน่ายไปทั่วโลกในภาษาต่างๆ ราว 200,000เล่ม หนังสือของเขาให้ความหวังและกำลังใจ รวมทั้งแนวทางการปฏิบัติตัว ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกจำนวนมากรอดชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์

ท่านผู้อ่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมวิธีการของดร.เอียน กอว์เลอร์ โดยเข้าไปใน youtube.com พิมพ์ Ian Gawler จะมีหัวข้อคำบรรยายต่างๆมากมาย มีที่น่าสนใจ เช่น Ian Gawler on Melbourne extra with john jost, Ian Gawler surviving cancer, Ian Gawler Healing cancer เป็นต้น

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 143 พฤศจิกายน 2555 โดย นพ.แพทย์พงษ์ วรพงศ์พิเชษฐ)

มหัศจรรย์ “ล้างพิษตับ” ช่วยยืดชีวิต

แม้ว่าร่างกายจะมีกลไกในการขจัดพิษตามธรรมชาติ แต่ถ้าหากได้รับพิษอยู่บ่อยๆ หรือมากเกินไป ร่างกายก็ไม่อาจชำระล้างได้ทัน ดังนั้น เราจึงควรหาวิธีขจัดพิษ เพื่อฟื้นฟูร่างกาย เพิ่มพละกำลัง และทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น ชั่วโมงนี้ “หลักสูตรล้างพิษตับ”นับว่าเป็นกระแสที่มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง
      
       ผู้บุกเบิกหลักสูตร "อาจารย์ขวัญดิน สิงห์คำ" ร่วมบอกเล่าประสบการณ์เรื่อง “มหัศจรรย์ล้างพิษตับ” ในงานพระอาทิตย์แฟร์ครั้งที่ 2 ณ เวทีอาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ โดยมีผู้ที่ได้รับผลดีจากการล้างพิษตับ และแพทย์แผนปัจจุบัน ร่วมให้ความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ ดำเนินการสนทนาโดย อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
      
       • ผู้ป่วยหลายพันดีขึ้น เพราะล้างพิษตับ
      
       อาจารย์ขวัญดินเล่าถึงความเป็นมาของหลักสูตรล้างพิษตับว่า ตนเคยเป็นผู้รับผิดชอบและจัดหลักสูตรครั้งแรกให้กับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ชาวอเมริกัน ที่เป็นโรคไขมันพอกตับ และนิ่วในถุงน้ำดี โดยหมอนัดทำการผ่าตัด แต่อาจารย์คนดังกล่าวเลือกใช้วิธีล้างพิษที่ชุมชนศีรษะอโศก จนนิ่วในถุงน้ำดีได้หายไปโดยไม่ต้องผ่าตัด ในเวลา 5 วัน นอกจากนี้โรคอื่นๆ ที่มีก็พลอยหายไปด้วย
      
       “หลังจากนั้นเราก็เริ่มสนใจ จนในที่สุดก็ได้เข้าไปดูแลหลักสูตรแทนหลานสาวที่ชุมชนศีรษะอโศก จากวันนั้นถึงวันนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว มีผู้ที่เข้ารับการรักษาทั้งหมด 9,000 คน ซึ่งการเติบโตของหลักสูตรล้างพิษตับคือ ทุกคนอาการดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยไวรัสบีที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ถัดมาที่ระดับโคเลสเตอรอลและเบาหวานลดลง
      
       รวมไปถึงผู้ป่วยที่มีนิ่วในถุงน้ำดี ไขมันพอกตับ ตลอดจนโรคริดสีดวงทวารที่หายขาดอย่างชัดเจน หลังทำไปประมาณ 5-6 ครั้ง บางคนก็ 10 ครั้งจึงหายเป็นปกติ นอกจากนั้น ยังมีผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน และความดันโลหิตที่มีอาการดีขึ้นจากการล้างพิษตับอีกด้วย"
      
       อาจารย์ขวัญดินอธิบายถึงหลักสูตรล้างพิษตับสำหรับผู้ที่สนใจว่า ก่อนอื่นต้องทำร่างกายให้แข็งแรงก่อน 3 วัน จากนั้นเริ่มต้นด้วยการอดอาหาร เพื่อให้ร่างกายพักผ่อน หยุดการย่อยและขับพิษ พร้อมกับการสวนล้างลำไส้ เพื่อให้ลำไส้สะอาด ระหว่างนั้นให้ดื่มน้ำด่าง หรือน้ำผลไม้ และขั้นตอนที่สำคัญคือ กินดีเกลือตอน 6 โมงเย็น และอีกครั้งตอน 2 ทุ่ม พร้อมกับดื่มน้ำมันมะกอกตอน 4 ทุ่มตามไปด้วย
      
       "การดื่มดีเกลือมี 2 สูตร (1) สูตรไม่อดอาหาร เป็นสูตรที่ทำทั่วไป แต่จะได้เฉพาะตับ โดยกินดีเกลือตอน 6 โมงเย็น 1 ช้อนโต๊ะ ตอน 2 ทุ่ม 1 ช้อนโต๊ะ และตอน 4 ทุ่มให้ดื่มน้ำมันมะกอก จากนั้นตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า กินดีเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ และตอน 8 โมงอีก 1 ช้อนโต๊ะ
      
       แต่สำหรับสูตรของอาจารย์ขวัญดินจะเป็นสูตรที่ (2) สูตรอดอาหาร คือ กินดีเกลือตอน 6 โมงเย็น 1 ช้อนชา ตอน 2 ทุ่ม 1 ช้อนชา และตอน 4 ทุ่ม ดื่มน้ำมันมะกอก จากนั้นตื่นนอน 6 โมงเช้า กินดีเกลือ 1 ช้อนชา และตอน 8 โมงอีก 1 ช้อนชา ซึ่งทั้งสองสูตรจะต่างกันตรงที่อดอาหารและลดปริมาณดีเกลือลง"
      
       ผู้บุกเบิกหลักสูตรเสริมว่า สำหรับน้ำด่าง สามารถดื่มน้ำขี้เถ้าก็ได้ อาจจะมีรสเฝื่อน หรือน้ำผลไม้ ซึ่งน้ำผลไม้ที่มีคุณสมบัติเท่าเทียมกับแอปเปิ้ลและองุ่น คือ น้ำมะขาม การดื่มน้ำต้องค่อยๆจิบ เพราะถ้าดื่มรวดเดียวอาจจะอาเจียนได้
      
       ทั้งนี้เหตุผลที่ต้องดื่มน้ำด่าง เพราะร่างกายของคนเรามีฤทธิ์เป็นกรด ฉะนั้น น้ำด่างจึงเข้าไปช่วยให้ร่างกายลดกรดให้น้อยลง โดยน้ำด่างที่สามารถทำได้เอง คือ การนำเปลือกมะพร้าวเผา 1 กิโลกรัม มาแช่น้ำ 5 ลิตร ทิ้งไว้ให้ตกตะกอน 7 วัน จะได้น้ำด่างที่มีค่า PH 13-14 แต่น้ำที่เหมาะแก่การปรุงอาหารคือ ค่า PH10 ดังนั้น สามารถผสมเจือจางด้วยตัวเองได้
      
       • อดีตผู้เข้าล้างพิษตับจนหายป่วย เปิดศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
      
       ด้วยเหตุผลนี้ “คุณชญาบุญ เพชรพรหม” อายุ 51 ปี อดีตนักธุรกิจที่เคยมุ่งทำเงินเพียงอย่างเดียว จากที่เคยเป็นเนื้องอก (ช็อกโกแลตซีส) ที่รังไข่ข้างขวายาว 4 เซนติเมตร ซึ่งต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แต่ได้ทำการล้างพิษตับเพียง 8 ครั้ง เนื้องอกที่เคยมีก็หายไป
      
       นอกจากนั้นจากการตรวจเลือดยังพบว่า ค่าตับยังแข็งแรงเท่ากับคนอายุ 27 ปี จึงอยากจะช่วยเหลือคนอื่นต่อๆไป จึงได้เปิด ศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม "ธัญสมุย" ที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันมีคนจองคิวเข้ารับการรักษาในหลักสูตรล้างพิษตับ ยาวไปจนถึงเดือนธันวาคม 2555
      
       "บางคนมีกำหนดการที่ต้องไปผ่าตัดกับแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อเอานิ่วออกจากถุงน้ำดี แต่เมื่อเข้าหลักสูตรล้างพิษตับแล้ว นิ่วก็ออกมาระหว่างการล้างพิษตับได้ และเมื่อกลับไปตรวจกับแพทย์แผนปัจจุบันก็พบว่าไม่พบนิ่วในถุงน้ำดีเหล่านั้นอีก ซึ่งที่ธัญสมุยทำมาเกือบปี มีผู้เข้ารับการรักษา 1,200 กว่าคน หลักสูตรนี้ไม่ต้องอาศัยโฆษณา แต่เกิดจากการบอกต่อว่าได้รับผลที่ดีขึ้นจริง ก็จะมีคนมาทำเรื่อยๆ" คุณชญาบุญเล่า
      
       เจ้าของศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม "ธัญสมุย" ยังบอกด้วยว่า อันที่จริงการล้างพิษตับสามารถทำเองที่บ้านได้ แต่ก็ไม่แนะนำสำหรับคนที่ไม่เคยเข้าหลักสูตรมาก่อน เพราะบางคนที่มีอาการป่วยอยู่แล้วอาจจะต้องการคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์
      
       สำหรับโรคที่พบและอาการดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อคือ โรคความดันโลหิต ผู้ป่วยไวรัสบี ส่วนผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี เคยล้างไป 3 ครั้ง ก็ไม่มีนิ่วเหลือแล้ว นอกจากนั้นยังมีผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่มีอาการดีขึ้นหลังจากล้างพิษตับ ประมาณ 60 เปอร์เซ็นอีกด้วย
      
       • ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายยืนยัน การล้างพิษตับ อีกหนึ่งทางเลือกที่มีประโยชน์
      
       ขณะเดียวกัน "คุณสันห์ฉวี ภู่ไพบูลย์" ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายหรือระยะที่ 4 ที่ผ่านการรักษาด้วยการทำคีโม ปฏิบัติตามแบบหมอเขียว และเข้าร่วมหลักสูตรล้างพิษตับ จนในปัจจุบันไม่พบมะเร็งแล้ว ได้มาบอกเล่าประสบการณ์ให้ฟัง
      
       คุณสันห์ฉวีเล่าว่าเมื่อปี 2553 ได้ตรวจพบโดยบังเอิญว่ามีไข้และระบบขับถ่ายผิดปกติ ในตอนนั้นหมอบอกว่าอายุ 50 ปีกว่าๆ แล้ว ถ้าลำไส้มีปัญหา หมอแนะนำให้เช็คเลือด 1 ตัวคือ CEA ซึ่งในตอนนั้นตนสนใจแต่เรื่องทำมาหากิน ไม่ได้ใส่ใจกับการดูแลสุขภาพมากนัก จึงยังไม่ค่อยรู้เรื่อง
      
       "พอเอกซเรย์ปอดก็เจอฝ้าขาวๆ หมอจึงส่องกล้องดูปอด และพบชิ้นเนื้อ 2.4 เซนติเมตร และผลการวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 2 ต้องผ่าตัดทันที ซึ่งตอนนั้นอึ้งไป ก่อนที่จะบอกข่าวร้ายกับคนในครอบครัว ทุกคนต่างก็งงและนิ่งอยู่ในภวังค์ ในตอนนั้นที่ผ่าตัดออกก็คิดว่าหายแล้ว แต่ยังต้องทำเคมีบำบัด ซึ่งมีผลข้างเคียงเยอะมาก จากนั้นก็พบหมอทุกๆ 2 เดือน จนหายดี"
      
       คุณสันห์ฉวีเล่าเพิ่มเติมว่า หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน ก็แอบไปทำ CT สแกนที่เกาะสมุย และพบว่ามะเร็งกลับมาอีก แต่เพื่อความแน่ใจจึงไปตรวจอีกที่โรงพยาบาลในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างรอฟังผลจึงเดินทางมาขอประวัติที่โรงพยาบาลประจำในกรุงเทพฯ ในตอนนั้นตัวเองรู้สึกว่าเหนื่อยมาก
      
       จนในที่สุดมีคนแนะนำให้ไปตรวจที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพราะมีโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญด้านมะเร็งปอด และหมอก็ยืนยันว่าเป็นมะเร็งปอดระยะแพร่กระจาย คือระยะที่ 4 และรักษายาก เพราะหมอเห็นว่าอาจจะไปที่สมอง และกระดูก
      
       "ตอนนั้นเริ่มทานยาได้เดือนกว่า สภาพจิตใจก็ย่ำแย่ จึงปรึกษาเรื่องอาหารการกินแบบหมอเขียว และได้ตัดสินใจเข้าร่วมหลักสูตรล้างพิษตับกับคุณชญาบุญ ตอนที่ร่างกายขับสารพิษออกมานั้นมีกลิ่นเหม็นมาก ซึ่งคนที่เป็นมะเร็งจะเหม็นทุกคน แต่เมื่อมันออกมาทุกคนต้องดีขึ้น
      
       เริ่มทำไป 2 ครั้ง แล้วก็ไปทำ CT สแกน ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อีกรอบ โดยที่ไม่ได้บอกว่าไปทำอะไรมาบ้างนอกจากกินยา ซึ่งข่าวดีในตอนนั้นคือ มะเร็งที่ปอดหายไป จึงมองว่าการล้างพิษตับ อย่างน้อยก็เป็นทางเลือกอีกหนึ่งทาง ที่ให้ประโยชน์ทั้งร่างกายและจิตใจ" คุณสันห์ฉวีเล่า
      
       • แพทย์ให้ข้อคิดการล้างพิษ เป็นการช่วยเหลือตับ
      
       ด้าน รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายถึงหน้าที่ของตับว่า ตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีน้ำหนัก 2 เปอร์เซ็นของน้ำหนักตัว โดยจะมีเลือดผ่านทั้งหมด 13 เปอร์เซ็นต์ เรียกได้ว่าชุ่มไปด้วยเลือด
      
       สำหรับคนปกติตับจะอยู่ชายโครงด้านขวา ทำหน้าที่ในร่างกาย 40 อย่าง และมีหน้าที่ย่อย 500 อย่าง และแน่นอนว่าสารพิษ อาหารที่เป็นพิษ ไขมัน ก็สะสมอยู่ในตับจำนวนมาก ดังนั้น หากสามารถล้างพิษออกมาจากตับได้ ตับก็จะมีหน้าที่ในการดูแลหรือสะสมพิษที่ยังคงค้างในร่างกายส่วนอื่นๆได้มากขึ้นอีก
      
       "กระบวนการล้างพิษด้วยการเริ่มต้นจากการอดอาหารนั้น สามารถอธิบายได้ว่า เพียงแค่การอดอาหารก็ถือว่าเป็นการปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อน และเมื่อน้ำย่อยที่มาจากส่วนต่างๆไม่มีที่เก็บ ก็จะมาที่ถุงน้ำดี เมื่อกินน้ำมันมะกอกเข้าไป ก็จะไปที่กระเพาะ และมีส่วนหนึ่งย้อนกลับมาที่ท่อน้ำดีเข้าไปในตับ พอน้ำมันมะกอกเข้าไปในถุงน้ำดี ก็จะไปดึงสิ่งต่างๆในถุงน้ำดีออกมา
      
       ดังนั้น ส่วนที่ถูกขับถ่ายออกมาในการล้างพิษ จะไม่ใช่ของเสียที่มาจากลำไส้ เพราะก่อนหน้านั้นได้สวนล้างลำไส้ให้สะอาดไปแล้ว"
      
       นายแพทย์สำเริงกล่าวต่อว่า สำหรับคนที่สงสัยว่าก้อนนิ่วจากการขับถ่ายออกมานั้น เป็นเพียงปฏิกิริยาจากการดื่มน้ำมันมะกอก ซึ่งไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะก้อนนิ่วเกิดจากตะกอนในร่างกายเองและต้องใช้เวลานาน
      
       แต่การที่ใช้น้ำมันมะกอกเข้าไปดึงก้อนนิ่วในถุงน้ำดีออกมาได้นั้น เพราะน้ำมันมะกอกจะทำหน้าที่ล้างน้ำมันในร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การดื่มน้ำมันมะกอกทุกวันจะมีประโยชน์ ควรดื่มแค่เดือนละ 1 ครั้งก็พอ
      
       "สำหรับการล้างลำไส้บ่อยๆ ไม่มีทางที่ลำไส้จะทะลุ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ การสวนทวารอาจจะติดเชื้อได้ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้น้อย ถ้าเราทำแบบถูกสุขลักษณะก็จะไม่มีปัญหา เพราะการที่ติดเชื้อได้นั้น เชื้อโรคต้องเข้าถูกที่ และจำนวนเชื้อมากพอ รุนแรงพอ ร่างกายอ่อนแอ และขาดสมดุลจึงจะติดเชื้อ
      
       ดังนั้น โทษของการล้างลำไส้อาจจะไม่มี แต่ความจำเป็นของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน หลายคนถามว่าถ้าไม่ดีท็อกซ์ได้ไหม คำตอบคือ ระบบขับถ่ายของคนเรามีความแตกต่างกัน ดังนั้น สามารถทานยาระบายชดเชยแทนได้"
      
       นายแพทย์สำเริงทิ้งท้ายว่า ทั้งนี้เพราะสารเคมีทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกาย ตับรับไปหมดเลย ตับของคนเราต้องทำหน้าที่อย่างหนักในแต่ละวัน ดังนั้น การล้างพิษตับก็นับเป็นการช่วยเหลือตับให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสามารถยืนยันได้ว่า เมื่อตับแข็งแรง ทุกอย่างในร่างกายก็จะดี เพราะตับสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ความบกพร่องในร่างกายลดลง สุขภาพแข็งแรงขึ้น เซลล์มะเร็งถูกทำลาย เป็นต้น
      
       อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายเป็นวิธีที่อยากแนะนำ แต่ต้องออกอย่างต่อเนื่อง และเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเรา
      
       • หลักสูตรการล้างพิษตับ (สูตรสั้น) ของ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ
      
       ก่อนล้างพิษ 1 วัน ให้อดอาหารก่อนเวลาบ่าย 3
      
       วันที่ 1
       เวลา 05.00 น. ตื่นนอน ทำธุระส่วนตัว และทำดีท็อกซ์
       เวลา 05.30 น. ออกกำลังกายตามที่ชอบหรือถนัด
       เวลา 06.00 น. ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพร
       เวลา 07.00 น. เวลาหิวให้ดื่มน้ำต่อไปนี้ (เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดก็ได้)
       น้ำแอปเปิ้ล 100% หรือน้ำปั่นแยกน้ำกาก
       • น้ำสับปะรด ปั่นน้ำแยกกาก
       • น้ำมะละกอดิบ+ห่าม หรือปั่นแยกน้ำแยกกาก
       • น้ำมะขาม+ น้ำผึ้ง+น้ำผักผลไม้
       • น้ำอ้อยสด + มะนาว
       เวลา 15.00 น. หยุดน้ำผลไม้ทุกชนิด ยกเว้นน้ำเปล่า
       เวลา 17.00 น. ดีท็อกซ์
       เวลา 18.00 น. ดื่มดีเกลือ 1 ช้อนชา ต่อน้ำครึ่งแก้ว
       เวลา 20.00 น. ดื่มดีเกลือ 1 ช้อนชา ต่อน้ำครึ่งแก้ว
       เวลา 22.00 น. ดื่มน้ำมะนาวและน้ำมันมะกอกบีบเย็น (Extra Virgin)ในอัตราส่วนดังนี้
       • น้ำมะนาว 150 ซีซี
       • น้ำมันมะกอก 150 ซีซี
       ผสมทั้งสองอย่างในขวดแก้ว เขย่าให้เข้ากัน ดื่มทันที ไม่ให้เกินเวลา 22.15 น.
      
       หลังดื่มน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว ให้ปฏิบัติดังนี้
       • นอนตะแคงขวา หรือนอนหงาย (หัวสูง)
       • ถ้ากลัวอาเจียน พยายามประคับประคองให้ผ่านเลยเวลา 02.00 น. หรืออาจใช้ถุงน้ำร้อนประคบที่ท้องช่วย (เพราะถ้าผ่านไปแล้ว น้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวจะลงถึงตับแล้ว แต่ถ้าอาเจียนก่อนอาจต้องเริ่มต้นใหม่หมด)
      
       วันที่ 2
       เวลา 06.00 น. ตื่นนอนและทำธุระส่วนตัว ทำดีท็อกซ์
       เวลา 06.30 น. ออกกำลังกาย
       เวลา 07.00 น. ทำงานปกติ
       เวลา 10.30 น. ทำดีท็อกซ์ เก็บพิษทั้งหมดไว้ ตั้งแต่ 02.00 น.หรือถ่ายเองและรวมกับดีท็อกซ์
      
       หมายเหตุ : สูตรสั้นนี้สามารถทำ 1 ครั้งต่อ 2 สัปดาห์ ไม่ควรเกินนี้
      
       หากผู้สนใจต้องการฟังการสนทนาเรื่องล้างพิษตับ ทางโครงการผู้จัดการสุขภาพได้จัดทำดีวีดีชุดนี้จำหน่ายในราคาชุดละ 89 บาท สอบถามรายละเอียดโทร. 0-2629-2211 ต่อ 1117,1118 และ 1151
      
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 143 พฤศจิกายน 2555 โดย ภาวิณี)

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

‘ท้องอืดท้องเฟ้อ’ อาการทั่วไป...ที่ไม่ธรรมดา ต้นตอปัญหาโรคร้ายในระบบทางเดินอาหาร

”ยังไม่ทันทำอะไร ก็หมดเวลาไป 1 วันแล้ว...” ประโยคนี้มักได้ยินจากใครหลายๆ คน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ดูเหมือนว่าเวลา 24 ชั่วโมงใน 1 วัน จะไม่เพียงพอต่อการทำกิจกรรมต่างๆ ให้ครบตามที่ใจต้องการ ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ สภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ทุกอย่างต้องแข่งขันกับเวลาจนเกิดเป็นความกดดันและความเครียด ทำให้หลายคนลืมที่จะดูแลรักษาสุขภาพของตัวเอง แม้แต่เรื่องง่ายๆ อย่างเช่น การทานอาหารให้ตรงเวลาและให้ครบ 3 มื้อ แต่ก็คงไม่แปลกถ้าคนรุ่นใหม่เหล่านี้จะให้เหตุผลเป็นเสียงเดียวกันว่า “ก็มันไม่มีเวลาจริงๆ” และสิ่งที่ตามมา ก็คือ ปัญหาด้านสุขภาพ และหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่มักเกิดจากพฤติกรรมเหล่านี้ ก็คือ อาการของโรคระบบทางเดินอาหารนั่นเอง

นายแพทย์สุริยา กีรติชนานนท์ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินอาหารและตับ ให้ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุและอาการต่างๆ ของโรคระบบทางเดินอาหาร ว่าอาการของโรคระบบทางเดินอาหารที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่ คือ อาการอึดอัด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ บริเวณลิ้นปี่หรือเหนือสะดือ โดยอาการเหล่านี้ทางการแพทย์ใช้คำแทนว่า อาการ Dyspepsia (ดิสเป็บเซีย) จากการสำรวจข้อมูลประชากรจำนวน 23,676 คน ใน 5 ประเทศของยุโรป พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีอาการเหล่านี้ถึงร้อยละ 32% (7,576 คน) ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบร้อยละ 25 และสำหรับประเทศไทยนั้น มีข้อมูลจากสมาคมโรคทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย ว่าคนไทยได้ประสบกับอาการนี้ถึงร้อยละ 20-25 และเป็นอาการที่พบบ่อยเป็นอันดับหนึ่งในคลินิกทางเดินอาหาร โดยพบได้ทุกช่วงอายุตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้สูงอายุ ช่วงที่พบบ่อยมากคือ อายุตั้งแต่ 40-45 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นอาการที่เกิดจากระบบการย่อยอาหารที่เสื่อมลงตามวัย

“อาการดิสเป็บเซีย เป็นอาการที่เกิดใน กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มโรคออกเป็น 2 ชนิด คือ กลุ่มผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพชัดเจนในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น หรือศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า organic dyspepsia (ออแกนิก ดิสเป็บเซีย) เช่น กระเพาะอาหารอักเสบรุนแรง มีแผล มีเชื้อโรคซ่อนอยู่ เนื้องอกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น และอีกชนิดหนึ่ง คือ กลุ่มผู้ป่วยที่ตรวจไม่พบโรคดังกล่าวด้วยวิธีส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารส่วนบน หรือ Functional dyspepsia - FD (ฟังชันนอล ดิสเป็บเซีย - เอฟดี) โดยอาการชนิดนี้ เกิดจากการที่กระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กทำหน้าที่ผิดปกติไปจากเดิม ซี่งพบเป็นส่วนมากในผู้ป่วยที่มีอาการดิสเป็บเซีย จากข้อมูลสำรวจผู้ป่วยที่มีอาการดิสเป็บเซียในประเทศไทยจำนวน 1,100 ราย พบว่าร้อยละ 60-90 ของผู้ป่วยที่มีอาการดิสเป็บเซีย มีอาการอยู่ในกลุ่มที่สองนี้ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ มีหลายปัจจัยด้วยกัน อาทิ กระเพาะบีบตัวไม่ได้ บีบตัวช้า กระเพาะไวต่ออาหารบางชนิด เช่น อาหารรสจัด สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้การย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร และการเคลื่อนตัวของอาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กเป็นไปด้วยความลำบาก เกิดการสะสมของฟองอากาศหรือแก็สในกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้อึดอัด แน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อครับ” นายแพทย์สุริยา กล่าว




นอกจากนี้ ในปัจจุบันอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เกิดขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงานและกลุ่มคนวัยเรียนเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อันเนื่องมาจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะปัจจัยเรื่องความเครียด พฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา หรือรับประทานอาหารด้วยความเร่งรีบ เคี้ยวไม่ละเอียด ตลอดจนปัจจัยอื่นๆ อาทิ แอลกอฮอล์ บุหรี่ กาแฟ น้ำอัดลม อาหารไขมันสูง ทานอาหารอิ่มแล้วนอนในทันที ทานอิ่มเกินไป หรือแม้แต่พูดคุยขณะรับประทานอาหาร เพราะเป็นการกลืนอากาศเข้าไปพร้อมอาหาร จนส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เหล่านี้ขึ้นซึ่งเป็นปัญหาที่น่าวิตกในการดำเนินชีวิตและการดูแลสุขภาพ

นายแพทย์สุริยา อธิบายด้วยว่า อาการในกลุ่ม ‘ฟังชันนอล ดิสเป็บเซีย’ นั้นไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่จะรบกวนคุณภาพชีวิตได้ ซึ่งผู้ที่มีอาการ จำเป็นต้องปรับพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการนี้ ควบคู่ไปกับการรับประทานยารักษาอาการ ซึ่งยารักษา

อาการในกลุ่ม ‘ฟังชันนอล ดิสเป็บเซีย’ มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน อาทิ ยาลดแก็สหรือฟองอากาศที่อยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้ ที่มีตัวยา ‘ไซเมทิโคน (Simethicone)’ ซึ่งจะช่วยลดแรงตึงผิวของฟองอากาศหรือแก๊สในทางเดินอาหาร ทำให้ฟองอากาศเล็กๆ รวมตัวกันง่าย และถูกขับออกจากร่างกายทางปากหรือทางทวารหนักได้ดีขึ้น โดยที่ตัวยาจะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และไม่มีปฏิกิริยาต่อยาอื่นๆ ที่ทานร่วมกัน อย่างเช่น ยาลดกรด ที่กระตุ้นการบีบตัวกระเพาะอาหาร เป็นต้น

“ปัจจุบันอาการท้องอืดนั้น เกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย ทั้งนี้ทุกคนควรรู้จักการดูแลรักษาสุขภาพ ตลอดจนการป้องกันตนเอง เพื่อให้ห่างไกลจากอาการเหล่านี้ ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น รับประทานอาหารให้ตรงเวลา เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ไม่รับประทานอิ่มจนเกินไป ไม่พูดคุยขณะรับประทานอาหาร หลังจากรับประทานอาหารก็ไม่ควรนอนทันที และควรรักษาสมดุลการทำงานไม่ให้ตนเองตกอยู่ในภาวะเครียด พร้อมออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างพอดี เหมือนกับประโยคที่ว่า “สุขภาพที่ดีมีได้ด้วยตัวเราเอง” มาสร้างสมดุลย์ให้กับชีวิตกันดีกว่า” นายแพทย์สุริยา กล่าวทิ้งท้าย


ที่มา
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000043920

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ “หมอเทวดา” ผู้รักษามะเร็ง



นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ “หมอเทวดา” ผู้รักษามะเร็ง

นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ ผู้เป็นความหวังให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้กลับมีชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยการอุทิศแรงกาย แรงใจ และสละเวลาตลอดชีวิตของการทำงานเพื่อค้นหาสูตรยาสมุนไพรที่จะมาพิชิตโรคร้าย แม้ว่าตอนนี้วัยจะล่วงเลยมาถึง 90 ปีแล้ว แต่ก็ยังรับปรึกษาปัญหาโรคมะเร็งอยู่มิได้ขาด เพื่อแลกกับการต่อลมหายใจให้กับผู้คนนับร้อยนับพันชีวิต จนได้รับการขนานนามว่า “หมอเทวดา”

กิตติศัพท์ “หมอเทวดา”
“หมอเทวดา” ชื่อที่ชาวบ้านต่างพากันเรียกขาน ด้วยกิตติศัพท์ที่สามารถรักษาโรคมะเร็งร้ายให้หายได้ ด้วยวีธีการรักษาแบบผสมผสาน ระหว่างยาสมุนไพรที่ทดลองศึกษามานาน ควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน จนมีผู้ป่วยหลายรายหายป่วย และบางรายอาการดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ


จากการบอกเล่าของผู้ป่วยที่มาทำการรักษา จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ไม่นานชื่อเสียงของ “หมอเทวดา” แห่งสิงห์บุรีก็เป็นที่รู้จักไปทั่วทุกหนระแหง


“อย่าเรียกตนว่าเป็นหมอเทวดาเลย เพราะตนเป็นเพียงแค่ หมอธรรมดา เท่านั้น” แม้ว่า นพ.สมหมาย จะปฏิเสธชื่อ “หมอเทวดา” ที่ชาวบ้านขนานนามให้ แต่นั่นไม่ได้สำคัญเท่ากับการเป็นที่ยอมรับด้วยแรงศรัทธาของผู้คนถึงความตั้งใจในการรักษาเพื่อผู้ป่วยมะเร็งอย่างแท้จริง


หมอสมหมาย มีความสามารถวินิจฉัยและวิธีการรักษาโรคมะเร็งมานานกว่า 30 ปี โดยเริ่มทดลองใช้สมุนไพรรักษาโรคมะเร็งมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2512 จนประสบความสำเร็จในปี พ.ศ. 2520 และได้ลาออกจากราชการมาเพื่อรักษามะเร็งโดยเฉพาะ

“สมุนไพร” รักษามะเร็งรอด!
เกือบครึ่งศตวรรษแล้ว...ที่หมอผู้เสียสละได้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งให้พบทางรอดอีกครั้ง

ตามประวัติพื้นเพเดิมของ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ เป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี สำเร็จการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะเข้าศึกษาต่อทางการแพทย์ที่ศิริราช และทำงานในร้านขายยาเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2494


หลังสำเร็จการศึกษาได้เข้าทำงานประจำแผนกศัลยกรรมที่โรงพยาบาลศิริราช และสนใจเรื่องการรักษามะเร็งเนื่องจากการรักษาโรคอื่นทางศัลยกรรมสามารถรักษาให้หายได้ง่าย แต่การรักษามะเร็งไม่ว่าจะผ่าตัดหรือฉายแสง สามารถทำได้ยาก จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดค้นหายาสมุนไพร มาช่วยในการรักษามะเร็ง


ด้วยจิตสำนึกอยู่เสมอว่า “ในโลกนี้ธรรมชาติทำให้เกิดโรค ธรรมชาติก็ต้องมีตัวยาแก้โรคให้ด้วย”

หมอสมหมายได้ทำการค้นคว้าวิจัยการแพทย์ทางเลือกอย่างสมุนไพร จึงทำให้เกิดเส้นทางใหม่ที่เรียกว่า “การแพทย์ทางร่วม” ในการรักษามะเร็ง หลังจากย้ายไปสร้างความเจริญให้กับโรงพยาบาลตำรวจ แล้วลาออกเพื่อไปเป็นหมอที่บ้านเกิด คือ โรงพยาบาลสิงห์บุรี ด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่า “ที่นี่ผมได้ทำงานที่ตั้งใจ พร้อมได้อยู่ดูแลคุณแม่ไปพร้อมๆ กัน”


คลีนิคหมอสมหมาย จึงเกิดขึ้น ณ บ้านไม้หลังใหญ่ ข้างตลาดปลาสด จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเป็นที่รู้จักดีของชาวบ้านละแวกนั้น รวมทั้งคนต่างจังหวัดที่เข้ามารับการรักษาตามคำร่ำลือถึงกิตติศัพท์ “หมอเทวดา” จากที่เคยเปิดการรักษาโรคทั่วไป ได้ถูกปรับปรุงให้เป็นสถานที่สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอย่างจริงจัง...ท่ามกลางความหวังของผู้เข้าทำการรักษาจำนวนมาก

ความหวังของผู้ป่วยนับพันชีวิต
ราวๆ 05.00 นาฬิกา ผู้ป่วยจากทั่วสารทิศต่างเดินทางมาเพื่อรอลงชื่อเข้ารับการรักษา บางรายมารอคลีนิกเปิดตั้งแต่ตี 2 ทันใดที่ประตูเปิดคลื่นผู้ป่วยนับร้อยต่างกรูเข้าไปเพื่อรอรับการรักษา ด้วยใบหน้าอย่างมีความหวังถึงผลการรักษาที่ดีขึ้น


การรักษาผ่านไปคนแล้วคนเล่า จากประสบการณ์การรักษาทั้งผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งระยะเบื้องต้นซึ่งพอรักษาเยียวยาให้หายขาดได้ และผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ทำได้เพียงแค่ยืดเวลาชีวิตออกไป แม้เป็นความหวังที่ริบหรี่ แต่ก็ทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจขึ้นมาได้บ้าง และนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ แม้ว่าข้อความบนบอร์ดกระดานจะรายงานคิวที่ยาวเหยียดมากเท่าใดก็ตาม


ในทุกวันผู้ป่วยมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นร่วมๆ 100 กว่าคน ซึ่งเป็นผลมาจากสื่อที่เผยแพร่ออกไป ทั้งหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ ต่างประโคมข่าวไปทั่วทุกหนแห่ง แต่หมอสมหมายยังยืนยันเช่นเดิมว่า “จะตรวจทุกคน ไม่ต้องกลัวมาเสียเที่ยว” กว่าผู้ป่วยจะหมด เข็มนาฬิกาก็บอกเวลาเที่ยงคืนพอดี ถือเป็นอันจบภารกิจการทำหน้าที่ “หมอ” ของวันจรดคืน


ทุกวันนี้หมอสมหมาย ยังคงทุ่มเทกำลังเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยตั้งใจไว้ว่าจะเกษียณตัวเองเมื่ออายุ 90 ปี เพื่อพักผ่อนในบั้นปลายชีวิต แต่อย่างไรก็ตามยังคงรับปรึกษาปัญหาโรคมะเร็งต่อไป


“ปกติตามธรรมชาติใบไม้จะร่วงปีละ 1 ครั้ง เมื่อข้าพเจ้าอายุครบ 90 ปี ข้าพเจ้าจะเลิกรักษาโรคมะเร็งแล้วใบไม้จะร่วงตลอดทั้งปี”


มะเร็งคือโรคร้ายที่คร่าชีวิตของมนุษย์ราวใบไม้ร่วงทุกปี มีคนเสียชีวิตจากมะเร็งเป็นจำนวนมาก จัดเป็นโรคที่คร่าชีวิตอันดับต้นๆ ของไทย นพ.สมหมาย ได้นิยามมะเร็งร้ายไว้อย่างเห็นภาพชัดเจนว่า

มะเร็ง คือ โรคร้ายที่ย่องเข้ามา “ขโมย” ทุกอย่างจากชีวิตเราไป โดยไม่ทันระวังตัวเหมือนกับที่คนไข้ทุกคนต้องประสบ


โรคมะเร็ง คือ “ผู้ร้าย” ซึ่งร้ายที่สุด และมันจะหนีตำรวจสุดฤทธิ์ แม้การแพทย์จะให้ทำการเคมีบำบัดก็ไม่สามารถทำให้หายขาดได้


และเป็นเซลล์ร้ายที่เหมือนกับเศษ “ขี้ผง” ที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายภายในอวัยวะของคน กวาดยังไงก็ไม่มีวันหมด วันนึงมันก็จะสะสมและเกาะแน่นขึ้นกว่าเดิม


ด้วยสาเหตุนี้การแพทย์ทางร่วมของหมอสมหมายจึงสามารถชลอใบไม้ร่วงในแต่ละปี เปรียบได้กับการช่วยชีวิตคนให้พ้นจากความเจ็บป่วย จนกลับไปใช้ชีวิตได้ดังเดิมอีกครั้งนับร้อยนับพันชีวิต

สูตรยาไม่ตายไปพร้อมกับผม
“ผมยกสูตรยานี้ให้องค์การเภสัชฯ ไปแล้ว แทนที่สูตรยาจะตายไปกับผม แต่ไม่แล้ว สมุนไพรนี้จะยังอยู่ จะมีคนรับไปต่อยอดจากผมอีกที” นายแพทย์สมหมายกล่าวอย่างดีใจ ที่สูตรยาเหล่านี้องค์การเภสัชกรรมได้นำไปผลิตและจำหน่ายให้คนไทย


โดยสูตรยาสมุนไพร 8 อย่าง ของหมอสมหมาย ประกอบด้วย พุทธรักษา ไฟเดือนห้า ปีกไก่ดำ พญายอ เหงือกปลาหมอ แพงพวย และข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้


สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่ผ่านมานั้น หากเป็นการรักษาในโรงพยาบาลมีชื่อทั่วไป ค่ารักษาคงไม่น้อยกว่าหลักหมื่นหรือหลักแสน แต่สำหรับหมอสมหมาย ได้กล่าวติดตลกไว้ว่า “ใครนั่งรถเบนซ์มา ก็แพงหน่อย ใครไม่มีตังค์มา ก็ให้ฟรี!”


ก่อนจะขยายความเสริมว่า “รักษามาเกือบ 40 ปี มีพอกินพอใช้ แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้น มันอยู่ที่ใจ ได้น้ำใจ ได้ทางความรู้สึก แค่นั้นพอแล้ว”


ไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่มาทำการรักษากับหมอสมหมาย แม้แต่ชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกที่ได้ยินชื่อเสียงในการรักษาโรคมะเร็งให้หายได้ ต่างก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้รักษาด้วยความหวังที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุข

“ถึงแม้นไม่ทำดีในแดนดิน จะถวิลถึงสวรรค์นั้นอย่าหมาย
ถ้าแม้นไม่มีน้ำใจในอุรา ท่านจะหาน้ำใจจากใครได้” คติประจำใจของ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ

สามารถติดตามอ่านชีวประวัติ “นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ หมอเทวดา ผู้รักษามะเร็งด้วยสมุนไพร” ได้แล้ววันนี้ในฉบับการ์ตูน วางแผงจำหน่ายที่ บีทูเอส, ซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์, ร้านนายอินทร์, บุ๊คสไมล์ และบุ๊คเฟรนด์ หรือสั่งซื้อได้ทาง Call Center 0-2633-5353

อนึ่ง นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ จะมาที่บูท "ASTVผู้จัดการ" (M01 โซน ซี 1) ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเปิดตัวหนังสือ"นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ หมอเทวดา ผู้รักษามะเร็งด้วยสมุนไพร" ฉบับการ์ตูน พร้อมพูดคุยกับผู้อ่านและแจกลายเซ็น ในวันนี้ (6เม.ย.) ตั้งแต่เวลา 13.30 น.เป็นต้นไป


-----------------------------


ประวัติของนายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ
พ.ศ. 2464 เกิดเมื่อวันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2464
พ.ศ. 2487-2488 สำเร็จการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พ.ศ. 2488-2489 เป็นอาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พ.ศ. 2490-2493 สำเร็จการศึกษาการแพทยศาสตร์บัณฑิต ศิริราชพยาบาล
พ.ศ. 2494-2495 เป็นแพทย์ประจำอยู่ที่สถานเสาวภา
พ.ศ. 2495-2497 เป็นแพทย์แผนกศัลยกรรมโรงพยาบาลศิริราช
พ.ศ. 2499-2517 เป็นผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลสิงห์บุรี และเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรี
พ.ศ. 2518-2520 เป็นแพทย์ใหญ่สาธารณสุขจังหวัดสิงห์บุรี
พ.ศ. 2521 ได้ทำการศึกษาวิจัย เริ่มใช้ยาสมุนไพรในการรักษาโรคมะเร็ง โดยใช้แพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับสมุนไพร
พ.ศ. 2542 มอบสูตรยาให้กับองค์การเภสัชกรรมโดยร่วมงานกับ ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ ผู้ได้รับรางวัลแม็กไซไซ
พ.ศ. 2552 ประสบความสำเร็จในการคิดค้นเป็นสูตรยาตำรับแรกของเมืองไทยที่เป็นที่ยอมรับในการรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน
ปัจจุบันยังคงเปิดคลีนิครักษาโรคมะเร็งอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี โดยอุทิศแรงกาย แรงใจ และเวลาเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง


ท่านประเสริฐจริงๆ

ที่มา และเข้าไปอ่านการ์ตูนได้ที่
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000043411

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นักวิจัยชี้ ดื่มกาแฟช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก



นักวิจัยชี้ ดื่มกาแฟช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

ผลการศึกษาจากสถาบันวิจัยในสหรัฐฯพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วหรือมากกว่านั้น อาจช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาของโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้


ผลการศึกษาที่นำออกเผยแพร่บนวารสารมะเร็งระบาดวิทยา สิ่งบ่งชี้ทางชีววิทยาและการป้องกัน ที่ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นสตรีพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 4 ถ้วยหรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงในการพัฒนาของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ได้มากกว่าผู้ที่ดื่มน้อยกว่า 1 ถ้วยต่อวัน


ทั้งนี้ โดยทั่วไปผู้หญิงที่ไม่ว่าจะดื่มกาแฟหรือไม่ อาจมีการพัฒนาไปสู่การเป็นโรคมะเร็งได้ค่อนข้างน้อย โดยในรอบกว่า 26 ปีที่ผ่านมา มีสตรีจำนวนเพียง 672 รายจาก กลุ่มศึกษา 67,000 รายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก


นักวิจัยได้สำรวจพยาบาลกว่า 67,000 คนในสหรัฐฯ พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟมากมีโอกาสลดลง 25 % ที่จะเป็นมะเร็งที่มดลูกเมื่อเปรียบเทียบกับสตรีที่ดื่มกาแฟโดยเฉลี่ยน้อยกว่าวันละ 1 แก้ว นักวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้ว่ากาแฟคือสาเหตุที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลดลง แต่ผลการศึกษาชิ้นนี้ได้ตอกย้ำผลการศึกษาหลายชิ้นก่อนหน้านี้ที่ให้ผลในลักษณะคล้ายคลึงกัน


นายเอ็ดเวิร์ด โจวานนุชชี นักวิจัยอาวุโสคณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด กล่าวว่ากาแฟโดยตัวเองอาจมีประโยชน์บางประการ โดยสามารถลดระดับของอินซูลินและฮอร์โมนเอสโตรเจนที่หมุนเวียนในร่างกาย ซึ่งทั้งสองชนิดมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก


นักวิจัยทำการสำรวจปัจจัยอื่นๆ ที่จะมีผลต่อการเป็นมะเร็ง เช่น น้ำหนักตัว ประวัติตั้งแต่แรกเกิด การใช้ฮอร์โมนหลังวัยหมดประจำเดือน ยาเม็ดคุมกำเนิด แต่ทั้งหมดไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงเป็นมะเร็งลดลงในหมู่คนที่ดื่มกาแฟ


นักวิจัยเตือนว่า การดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วอาจไม่เป็นผลดีนัก โดยเฉพาะกับผู้ที่มีร่างกายอ่อนไหวต่อการได้รับสารคาเฟอีน และแม้นักวิจัยพบว่า กาแฟที่สกัดสารคาเฟอีนทำให้ความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่ำลง แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่ชัดเจนทางสถิติ และในทางทฤษฎี การใส่น้ำตาลและครีมในกาแฟก็จะทำให้อ้วน ซึ่งความอ้วนคือปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง

ที่มา
มติชนออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

ไส้กรอกวันละชิ้นเสี่ยงมะเร็ง!

ไส้กรอกวันละชิ้นเสี่ยงมะเร็ง!

นักวิจัยพบ พฤติกรรมการรับประทานผลิตภัณฑ์เนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับอ่อนได้

โดยงานวิจัยครั้งนี้ส่งตรงจากสวีเดน เมื่อมีการศึกษาพบว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปเพียงวันละ 50 กรัมต่อวันก็เพิ่มความเสี่ยงได้ถึง 19 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งปริมาณ 50 กรัมนั้นเทียบเท่ากับปริมาณของแฮมสไลด์บาง ๆ 1 ชิ้น หรือไส้กรอก 1 ชิ้น หรือเบคอนสไลด์บาง 1 ชิ้นเท่านั้น

ส่วนการรับประทานเนื้อแดง เช่น เนื้อสเต็ก หรือเนื้อติดกระดูกนั้นก็เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งให้กับผู้ชายด้วยเหมือนกัน ไม่เพียงเท่านั้น หากเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปเนื้อสัตว์ชนิด "รมควัน" แล้วล่ะก็ ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับอ่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 74 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร The British Journal of Cancer ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จากข้อมูลของผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนราว 6,000 รายเลยทีเดียว

นอกจากนั้นยังมีหลักฐานที่ชี้ว่า การรับประทานเนื้อแดง และเนื้อแปรรูปนั้นอาจเป็นตัวการของมะเร็งลำไส้อีกด้วย

เจ้าของงานวิจัย ศาสตราจารย์ซูซานนา ลาร์สสัน แห่งสถาบัน Karolinska ในสต็อกโฮล์มกล่าวว่า "อัตราการรอดชีวิตจากมะเร็งตับอ่อนนั้นต่ำมาก ดังนั้น การทำความเข้าใจ และการตระหนักว่าความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้มาจากสิ่งใดบ้างคือเรื่องสำคัญ"

ทั้งนี้ รายงานจากไซแอนทิฟิกอเมริกันระบุว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนส่วนใหญ่ประมาณ 53% จะได้รับการวินิจฉัยว่าตัวเองเป็นโรคนี้ก็เมื่อมะเร็งได้ลามไปมากแล้ว ในจำนวนนี้อัตรารอดชีวิตต่ำมาก ซึ่งมีเพียง 1.8% ของผู้ป่วยที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปนานกว่า 5 ปีหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งนี้แล้ว และสำหรับมะเร็งชนิดอัตราผู้รอดชีวิตนาน 5 ปีหลังได้รับการวินิจฉัยมีเพียง 3.3% เท่านั้น

ส่วนมากผู้ที่เป็นมะเร็งตับอ่อนมักจะเสียชีวิต เพราะมักจะตรวจพบในระยะท้าย ๆ แล้ว อีกทั้งต่างจากมะเร็งปอดและมะเร็งลำไส้ตรงที่มะเร็งชนิดนี้จะไม่แสดงอาการของโรคในระยะแรกมากนัก ข้อบ่งชี้ของโรคที่สามารถสังเกตได้เช่น อาการปวดท้องส่วนบน น้ำหนักลด เบื่ออาหาร และการอุดตันของลิ่มเลือด อย่างไรก็ดี อาการเหล่านี้ค่อนข้างพบได้ทั่วไป และทุกคนสามารถเป็นได้

ครอบครัวใดที่ชอบรับประทานไส้กรอกเป็นชีวิตจิตใจ อาจต้องเปลี่ยนเมนูกันบ้างแล้วก็เป็นได้ค่ะ


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์