วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

อึวันละ 3 หน กันมะเร็งลำไส้ใหญ่

อึวันละ 3 หน กันมะเร็งลำไส้ใหญ่ (กรมประชาสัมพันธ์)

สุขนิสัยการขับถ่ายอุจจาระเท่าที่ได้เรียนรู้กันมา ก็จะแนะนำให้เข้าห้องน้ำถ่ายหนักกันอย่างน้อย 1 ครั้งต่อวัน ทั้งยังควรขับถ่ายให้เป็นเวลา แถมระยะหลัง ๆ ก็มีกระแสนาฬิกาชีวิต แนะเรื่องดี ๆ เพิ่มเติมว่า คนเราควรถ่ายอุจจาระในช่วงเวลา 05.00-07.00 น. เพราะเป็นเวลาที่ลำไส้ใหญ่กำลังทำงานได้ดี

หากทำได้อย่างที่กล่าวจนเป็นนิสัย จะห่างไกลปัญหาระบบขับถ่าย แต่ก็ต้องไม่มองข้ามการกินอาหารที่อุดมไปด้วยเส้นใย หรือไฟเบอร์ และดื่มน้ำอย่าต่ำกว่า 10-12 แก้วทุกวัน เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก้อนอุจจาระไม่แข็ง-ไม่ใหญ่จนทำให้ขับถ่ายลำบาก

อย่างนี้ อวัยวะที่ดูจะมีบทบาทเกี่ยวกับการขับถ่ายอุจจาระที่สุด ก็คงต้องเป็นลำไส้ใหญ่ ซึ่งมีข้อมูลชวนรู้จาก ดร.ทอม อู๋ ดร.ด้านโภชนาการและการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติจากสหรัฐอเมริกา กล่าวไว้บางช่วงบางตอนในหนังสือ 100 คำถามเจาะลึกเพื่อสุขภาพ แนะนำไว้ว่า หากต้องการลดโอกาสเสี่ยงการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีหน้าตาที่สดใส และกระปรี้กระเปร่า ควรถ่ายอุจจาระวันละ 3 ครั้ง

เหตุผลเพราะลักษณะของลำไส้ใหญ่มี 4 ขยัก มีส่วนขึ้น ส่วนขวาง ส่วนลง และส่วนตรง การถ่ายอุจจาระวันละ 3 ครั้ง ช่วยให้ของเสียไม่คงค้างในร่างกาย ส่วนการขับถ่ายเพียงวันละครั้งจะระบายของเสียออกไปจากลำไส้ได้แค่ขยักเดียว

ส่วนการจะช่วยให้ระบบขับถ่ายสามารถกำจัดของเสียออกจากร่างกายทางลำไส้วันละ 3 ครั้ง จำเป็นต้องรับประทานสลัดผักสด 2 มื้อ ร่วมกับน้ำผักและผลไม้อีกสัก 4-6 แก้ว


ที่มา
กะปุก

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

“น้ำตรีผลา” เสริมภูมิ คาดอาจช่วยรักษามะเร็ง

กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย เตรียมระดมสมองผู้เชียวชาญ “สังคายนา” ยาสมุนไพรเกือบ 2 พัน ตำรับ หลังมีนักวิจัยพบน้ำสมุนไพร “ตรีผลา” เสริมภูมิต้านทาน อาจช่วยรักษามะเร็งได้


พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ตามที่มีการสำรวจสมุนไพรที่มีการจดแจ้งทะเบียนตำรับยาทั่วประเทศ พบว่า มีสมุนไพร 1,927 ตำรับ ที่มีสรรพคุณใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ทั้งมะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปอด ตนจึงสั่งการให้คัดเลือกสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษามะเร็งทั้งหมดเพื่อแยกออกเป็นกลุ่มๆ ว่า สามารถรักษาโรคมะเร็งชนิดใดได้บ้าง จากนั้นจะมีการเชิญผู้รู้มาร่วมสังคายนาสมุนไพร เพื่อพิจารณาว่าแต่ละกลุ่มว่ามีสรรพคุณรักษามะเร็งได้จริงหรือไม่

“คาดว่า จะมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาประชุมเพื่อที่จะเริ่มพิจารณาจากสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านมก่อน เพราะจากการพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกลุ่มที่ใช้สมุนไพรไม่ซับซ้อน และจะใช้ประโยชน์ได้ดี และเมื่อมีการพิจารณาสมุนไพรทุกกลุ่มเสร็จแล้ว จะต้องมีการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือไม่นั้น จะต้องดูว่าจะมีการนำสมุนไพรชนิดนั้นๆ ไปจำหน่ายหรือไม่ เพราะหากมีการจำหน่ายก็จำเป็นจะต้องขึ้นทะเบียนกับทางอย. แต่ถ้าหากหมอแผนไทยใช้ปรุงยาเพื่อรักษาผู้ป่วยก็สามารถทำได้เลย ไม่ต้องขึ้นทะเบียน” พญ.วิลาวัณย์ กล่าว

อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย กล่าวด้วยว่า ในปัจจุบันการนำสมุนไพรมารักษาโรคมะเร็งเริ่มได้รับจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติมากขึ้น ทางกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯเองก็จะมีการส่งเสริมสมุนไพรที่ผ่านการวิจัยรับรองแล้วว่ามีสรรพคุณที่จะรักษามะเร็งได้จริงด้วย ขณะนี้ก็กำลังส่งเสริมให้มีการดื่มน้ำ ตรีผลา ซึ่งมีส่วนผสมจากมะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก มีสรรพคุณช่วยในการเสริมภูมิต้านทาน เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นหวัดบ่อยๆ ทั้งยังมีสรรพคุณในการชะลอการชราด้วย และนอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า ตรีผลายังมีสรรพคุณในการยับยั้งและต้านเซลล์มะเร็ง หรือหากเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นมาแล้วก็จะมีผลทำให้เซลล์มะเร็งโตช้า โดยมีผลวิจัยรองรับจากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

อนึ่ง สำหรับผู้ที่สนใจน้ำตรีผลาสามารถนำไปต้มดื่มเองได้โดยตวงสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด อัตราส่วน สมอพิเภก 100 กรัม สมอไทย 200 กรัม มะขามป้อม 400 กรัม จากนั้นนำสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด ใส่หม้อผสมน้ำ 6 ลิตร ตั้งไฟต้มเดือด 30 นาที เติมน้ำตาลทราย 600 กรัม เกลือ 1 ช้อนชา หากเข้มข้นเกินไป ให้เติมน้ำสุกเพิ่มได้ ปรุงรสชาติที่ชอบ กรองผ่านผ้ากรองหรือกะชอน ใส่ภาชนะ สำหรับเตรียมดื่ม ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น แทนเครื่องดื่มทั่วไป เช้า กลางวัน เย็น

ที่มา
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000039241

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

คนไทยเจ๋ง...ตรวจหาโรคมะเร็ง ตับ ข้อเสื่อมได้โดยใช้ชุดน้ำยาตรวจหาโรค

คนไทยเจ๋ง...ตรวจหาโรคมะเร็ง ตับ ข้อเสื่อมได้โดยใช้ชุดน้ำยาตรวจหาโรค


“ชุดน้ำยาตรวจหาโรค” ผลงานระดับชาติ จากนักวิจัย มช.



นักวิจัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) พัฒนาชุดน้ำยาสำเร็จรูป จากกระดูกอ่อนของสัตว์ คุณสมบัติสามารถตรวจหาโรคข้อเสื่อม โรคตับ และมะเร็ง คว้ารางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ปี 2554 ระดับดีเด่น จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เล็งต่อยอดผลิตขายต่อต่างประเทศ

เป็นเวลากล่าว 20 ปีแล้ว ที่ รศ. ดร. ปรัชญา คงทวีเลิศ จากหน่วยวิจัยที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อ และเซลล์ต้นกำเนิด ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะ ได้ทำการศึกษาวิจัย เพื่อแยกบริสุทธิ์โปรตีนชนิดหนึ่งจากกระดูกอ่อนของสัตว์ชนิดต่าง ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ ในการพัฒนาชุดน้ำยาสำเร็จรูปเพื่อการตรวจวัดระดับ สารชีวโมเลกุลที่ชื่อ ไฮยาลูโรแนน หรือ ไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronan, Hyaluronic acid, หรือ HA) ซึ่งสามารถใช้ในการคัดกรอง วินิจฉัย และติดตามผลการรักษาข้ออักเสบ ข้อเสื่อม มะเร็ง และโรคตับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคตับแข็ง

“จริง ๆ แล้วคนไทยเป็นโรคตับเยอะมาก ติดอันดับโลกเลยทีเดียว และเนื่องจาก ผมได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาเอกเรื่อง ไฮยาลูโรแนน จากออสเตรเลีย เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว จากนั้นพอกลับมาเมืองไทย ก็เริ่มจับงานวิจัยชิ้นนี้ต่อ โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งขณะนั้นเป็นศูนย์ไบโอเทค รวมทั้ง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ภาคเหนือ (สวทช. ภาคเหนือ) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. ได้สนับสนุน ต่อยอดจนได้เป็นชุดน้ำยาสำเร็จรูปดังกล่าว” รศ.ดร. ปรัชญา กล่าว

ล่าสุดผลงานวิจัยเรื่อง “การวิจัยและพัฒนาพื้นฐานและประยุกต์ใช้โปรตีนยึดจับไฮยาลูโรแนน เพื่อการวินิจฉัยโรคข้อเสื่อม โรคตับและโรคมะเร็ง” ยังได้รับรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ปี 2554 ระดับดีเด่น สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

หัวใจสำคัญของชุดน้ำยาที่ได้รับรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์นี้ คือโปรตีนที่ต้องแยกมาจากกระดูกอ่อน จากนั้น นำมาทำให้บริสุทธิ์ด้วยเทคนิคทางชีวเคมี ทำให้ได้สารสำคัญที่ใช้ในชุดน้ำยาดังกล่าว

“จากกระดูกอ่อนที่เหลือทิ้งตามตลาดหรืออุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ เราไปนำมาเพิ่มคุณค่าให้มากขึ้นอีก หลายเท่าตัว ปัจจุบันเราสามารถเตรียมโปรตีนชนิดนี้ ได้จากกระดูกอ่อนของ หมู วัว ไก่ และปลาฉลาม ซึ่งเป็นปลาชนิดเดียวที่ทั้งตัวมีแต่ กระดูกอ่อน จากการศึกษาวิจัยเราสามารถเตรียมโปรตีนชนิดนี้ได้บริสุทธิ์ และที่สำคัญ คือยังคงคุณสมบัติทางชีวเคมี ในการจับอย่างจำเพาะกับสารไฮยาลูโรแนน ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้พัฒนาชุดน้ำยาสำเร็จรูปดังกล่าวได้”

จากความสำเร็จนี้เอง ทางคณะผู้วิจัย ได้ทำการจดสิทธิบัตรในประเทศไทย รวมถึงได้มีบริษัทของคนไทย ที่ดำเนินกิจการในประเทศสิงคโปร์ ได้ให้ความสนใจในการขอใช้สิทธิบัตรและองค์ความรู้นี้ เพื่อไปผลิตเป็นชุดน้ำยาที่ได้ มาตรฐานสากล ส่งไปจำหน่ายยังประเทศต่าง ๆ เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ อเมริกา และอีกหลายประเทศในยุโรปอีกด้วย

งานวิจัยชิ้นนี้นับเป็นงานวิจัยที่เป็นผลงานประดิษฐ์คิดค้น ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่นำของเหลือใช้มาเพิ่มมูลค่า และสามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตและสุขภาพ ซึ่งเป็นงาน “จากหิ้งสู่ห้าง” ได้อย่างแท้จริง


ที่มา
http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9540000038129

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

กันมะเร็งเต้านมไว้ดีกว่าแก้ ด้วยเครื่องอ่านภาพรังสีฝีมือไทย

กันมะเร็งเต้านมไว้ดีกว่าแก้ ด้วยเครื่องอ่านภาพรังสีฝีมือไทย

“มะเร็งเต้านม” ถือเป็นมะเร็งในผู้หญิงที่พบมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งปากมดลูก เป็นภัยร้ายที่น่ากลัวและเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ มีอัตราเฉลี่ยของการเกิดโรคเท่ากับ 172 จากผู้หญิง 1แสนคน แถมยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสาเหตุของโรคมีด้วยกันหลายประการคือ พันธุกรรม การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารทอด การใช้ยาคุมกำเนิดตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นเวลานานๆ ความอ้วน การเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน การมีบุตร การมีเนื้องอก และกัมมันตรังสี

กระนั้น การป้องกันโรคย่อมจะดีกว่าการปล่อยให้เกิดโรคแล้วค่อยมาหาวิธีการรักษาภาย หลัง ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะรักษาได้หายขาดในทุกๆ รายหรือไม่ การป้องกัน ที่สำคัญที่สุดจึงเป็นการค้นหาโรคตั้งแต่ยังไม่มีอาการเพื่อจะได้รีบรักษา ก่อนที่จะลุกลาม วิธีที่ได้รับความนิยมมากคือ การหมั่นตรวจเต้านมตัวเองอยู่เสมอๆ

จึงเป็น เรื่องที่น่ายินดียิ่งที่เวลานี้ ได้มีการพัฒนาเครื่องมือตรวจโรคมะเร็งเต้านมด้วยฝีมือคนไทยแล้ว โดยนา ยกฤศณัฎฐ์ เชื่อมสามัคคี คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นัก ศึกษาภายใต้โครงงานสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี หรือ IRPUS (Industrial and Research Projects for Undergraduate Students) ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิ จัย (สกว.) เจ้าของผลงาน “การออกแบบชุดอุปกรณ์สำหรับอ่านภาพ รังสีเต้านม” ชี้ว่าแม้โรคดังกล่าวจะมีความร้ายแรง แต่หากสามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมได้ในระยะแรก ผู้ป่วยก็มีโอกาสหายจากโรคถึง 90-95% ส่วนระยะที่ 2 เป็นระยะที่โรคได้กระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองแล้ว จะมีโอกาสหายลดลงเหลือ 50% และจะเหลือเพียง 30% ในระยะที่ 3

“การ ตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะแรกมีความสำคัญมาก ปัจจุบันใช้วิธีตรวจโดยการถ่ายภาพรังสีเต้านม แต่เนื่องจากมะเร็งเต้านมในระยะแรกมีรอยโรคขนาดเล็กซึ่งยากแก่การตรวจพบ จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนของกระบวนการตรวจ เพื่อลดการถ่ายภาพรังสีหลายครั้ง และเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านภาพได้ละเอียดชัดเจน ทำให้การวินิจฉัยโรคเป็นไปอย่างถูกต้อง”

ทั้ง นี้ นายกฤศณัฎฐ์ ได้ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลของอุปกรณ์ช่วยสำหรับการอ่านภาพรังสีเต้านม รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ที่จะนำมาผลิตเป็นส่วนต่างๆของชุดอุปกรณ์ จนปัจจุบันสามารถออกแบบชุดอุปกรณ์ช่วยสำหรับการอ่านภาพรังสีเต้านมได้ โดยมีส่วนประกอบ อาทิ ตู้อ่านฟิล์มชนิดพิเศษ เลนส์ขยายไฟสำหรับส่องดูรอยโรคเฉพาะที่ รวมถึงอุปกรณ์ประกอบย่อยอื่นๆ และยังเน้นการคัดเลือกวัสดุที่สามารถหาได้ง่ายภายในประเทศ อาทิ ไฟเบอร์กลาส และหลอดไฟชนิดพิเศษ

สำหรับชุดเครื่องมือดังกล่าว จะมีความกว้างประมาณ 50 ซม. สูง 180 ซม. สามารถถอดประกอบเคลื่อนย้ายได้สะดวก และใช้ไฟประมาณ 250 วัตต์ อีก ทั้งยังสามารถทำงานวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมได้ 2 ชุดพร้อมกัน ทั้งภาพรังสีเต้านมข้างขวา 2 ภาพ และข้างซ้ายอีก 2 ภาพ และสามารถดูภาพรังสีทั่วไปที่ประกอบการวินิจฉัยโรคได้อีก 3 ภาพพร้อมๆ กัน

ด้าน ต้นทุนของเครื่องต้นแบบดังกล่าวมีราคาประมาณ 35,000 บาท ในขณะที่ต่างประเทศมีราคาประมาณ 400,000-500,000 บาท อย่างไรก็ตาม นายกฤศณัฎฐ์ เผยว่า เขากำลังปรับปรุงและพัฒนาชุดตรวจนี้ต่อไปเพื่อให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีก ด้วย

“ชุดอุปกรณ์สำหรับอ่านภาพรังสีเต้านม” จึงเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมฝีมือไทยทำ ที่น่าสนใจ เพราะนอกจากจะลดการพึ่งพาต่างชาติแล้ว ยังมีราคาถูกลงกว่า 10 เท่า จึงช่วยขยายโอกาสทำให้ผู้หญิงไทยเราสามารถเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง เต้านมได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น จึงต้องขอเอาใจช่วยให้มีการพัฒนาเสร็จสิ้นโดยไว ซึ่งหากทำได้แล้วก็แน่นอนว่าผู้หญิงไทยเราจะห่างไกลจากโรคมะเร็งเต้านมอย่าง แน่นอน…

ที่มา
http://health.deedeejang.com/news/cancer-in-women.html

ทิชชูกับมะเร็งปากมดลูก

ทิชชูกับมะเร็งปากมดลูก

เกร็ดความรู้วันนี้เป็นของชาวเว็บท่านหนึ่งที่อยากฝากเตือนผู้หญิงทุกคนค่ะ นั่นคือ มะเร็งร้ายที่ปากมดลูก

สิ่งที่ข้าพเจ้าจึงไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครอีก
มะเร็งปากมดลูกไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ แต่เกิดได้จากการใช้ทิชชูในเวลาทำกิจวัตร จะเกิดจากเป็นเชื้อราเล็กๆ และขยายวงกว้างจนกลายเป็นมะเร็งร้าย

ตอนนี้ข้าพเจ้าเป็นเชื้อราเล็กๆ อยู่จึงไม่กังวลมาก แต่สาเหตุที่แท้จริงคือทิชชูมีสารเคมีตัวฉกาจที่เมื่อใช้เป็นเวลานานติดต่อ กันจะทำให้เกิดในช่องคลอดได้

หมอแนะนำว่าหลังจากเสร็จกิจใน ห้องน้ำ ให้ใช้ทิชชูซับแทนการเช็ด และต้องซับครั้งเดียว ไม่เกิน 10 วินาทีเป็นการหลีกเลี่ยงการเกิดเชื้อราได้ 50 % ด้วย

ความปรารถนาดี

โดย เดลินิวส์

ลมหายใจไร้มะเร็งปอด

การจะรักษาโรคมะเร็งให้หายขาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งที่ส่วนใดก็ตาม หลักการง่ายๆ คือ ต้องกำจัดมะเร็งตั้งแต่ระยะแรก ก่อนที่มะเร็งจะเติบโตและเกิดการแพร่กระจาย

วันที่ 31 พ.ค. วันงดสูบบุหรี่โลก ซึ่งในทุกๆ ปีจะมีการรณรงค์ให้คนเลิกสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่ทำให้เกิดโรค “มะเร็งปอด” ทว่าในปัจจุบันมะเร็งปอดไม่ได้เป็นเฉพาะในผู้สูบบุหรี่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกคนมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดได้ โดยปัจจุบันพบว่ามะเร็งปอดพบได้มากขึ้นในผู้หญิง และผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สูบบุหรี่ยังถือเป็นกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงสูงกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่

“นพ.กิตติชัย เหลืองทวีบุญ” หน่วยศัลยศาสตร์ทรวงอก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้กล่าวในงานสัมมนาโครงการส่งเสริมความรู้ผู้ป่วย “ลมหายใจ ไร้มะเร็งปอด” ซึ่งศูนย์ส่งเสริมมิตรภาพบำบัด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ร่วมกับบริษัท แบ็กซ์เตอร์ เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทย) ได้จัดขึ้นเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งปอด และมุ่งหวังให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสุขภาพของตนเอง เพื่อจับสัญญาณมะเร็งร้ายก่อนจะสายเกินแก้ว่า “ปอด” เป็นหนึ่งในอวัยวะยอดฮิตที่เซลล์มะเร็งชื่นชอบ เนื่องจากเป็นอวัยวะที่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงเป็นจำนวนมาก โดยสถิติจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ประเทศไทยมีคนป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดวันละ 26 คน และเสียชีวิตวันละ 25 คน โดยโรคมะเร็งปอดพบมากเป็นอันดับ 2 ในผู้ชาย และอันดับ 4 ในผู้หญิง

ใครเสี่ยงมะเร็งปอด

มะเร็งปอดแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ มะเร็งที่เกิดขึ้นในปอดเอง คือ มีจุดหรือก้อนเนื้อเล็กๆ เกิดขึ้นในปอด ที่มีการเติบโตและแบ่งตัวอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งสามารถแบ่งชนิดย่อย เช่น ชนิดเซลล์เล็ก ชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก เป็นต้น อีกชนิดหนึ่งคือ มะเร็งที่แพร่กระจายมาจากอวัยวะอื่นๆ เช่น ในผู้ป่วยมะเร็งตับ มะเร็งเต้านม ฯลฯ ก็มีโอกาสที่เซลล์มะเร็งจะแพร่กระจายไปตามกระแสเลือดและลุกลามมายังปอดได้

สำหรับสาเหตุการเกิดมะเร็งปอดที่พบบ่อย “รศ.นพ.นรินทร์ วรวุฒิ” อายุรแพทย์ หน่วยมะเร็งวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งอย่างต่อเนื่อง อาทิ ควันบุหรี่ ควันไอเสียตามท้องถนน โดยสารเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เนื้อเยื่อแบ่งตัวแบบผิดปกติ

จากสถิติพบว่าผู้ชายที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดกว่าร้อยละ 90 เกิดจากการสูบบุหรี่ แต่ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันพบมะเร็งปอดมากขึ้นในกลุ่มผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ และยังพบว่าผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโรคมะเร็งปอดมากขึ้น จากจำนวนผู้หญิงทั้งหมดที่เป็นมะเร็งปอด ร้อยละ 50 เท่านั้นที่เกิดจากการสูบบุหรี่ หรือสูดดมควันบุหรี่ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งไม่ทราบปัจจัยแน่นอน ซึ่งอาจมีสาเหตุจากพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม อาหารการกิน หรือรูปแบบการใช้ชีวิต ซึ่งโรคมะเร็งปอดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสูบหรือสูดดมควันบุหรี่สามารถรักษา ได้ด้วยการผ่าตัด และมักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

รู้รักษา…ป้องกันได้

อย่างไรก็ตาม มะเร็งปอดเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ หากตรวจพบและเข้ารับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ซึ่งส่วนใหญ่จะทราบได้จากการตรวจเช็กสุขภาพปอด โดยแพทย์ตรวจพบจุดหรือก้อนเนื้อผิดปกติในปอด เนื่องจากมะเร็งปอดในระยะแรก ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ เช่น ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด หอบเหนื่อย ฯลฯ ให้เห็นเด่นชัด

ดังนั้น การตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำคือวิธีที่ดีที่สุด ด้วยการตรวจเอกซเรย์ปอด โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น มีประวัติสูบบุหรี่จัด มีบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งปอด ควรตรวจเอกซเรย์ปอดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากพบว่ามีจุดผิดปกติเกิดขึ้น แพทย์จะตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือตรวจเนื้อเยื่อปอดอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งแน่นอนหรือไม่ และพิจารณาแนวทางการรักษาต่อไป หากผู้ป่วยรอสังเกตอาการผิดปกติดังที่กล่าวมา หรือมาพบแพทย์เมื่อแสดงอาการแล้ว มักจะตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลุกลามมาก หรืออยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว

“การจะรักษาโรคมะเร็งให้หายขาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งที่ส่วนใดก็ตาม หลักการง่ายๆ คือ ต้องกำจัดมะเร็งตั้งแต่ระยะแรก ก่อนที่มะเร็งจะเติบโตและเกิดการแพร่กระจายไปยังอวัยวะสำคัญอื่นๆ ซึ่งการผ่าตัดในผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็กในระยะเริ่มแรกนั้น หรือไม่เกินระยะที่ 2 นั้น จะมีโอกาสหายค่อนข้างสูงถึง 70-80% โดยไม่ต้องให้ยาเคมีบำบัดหรือฉายแสงหลังผ่าตัด แต่ถ้ามะเร็งลุกลามไปแล้วจะไม่สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดได้ แพทย์จะให้ยาเคมีบำบัดเพื่อประคับประคองอาการต่อไป ถ้าเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 2 หรือ 3A การให้ยาเคมีบำบัดอย่างถูกต้องเหมาะสมเสริมหลังผ่าตัดสามารถทำให้ผู้ป่วย มะเร็งปอดหายขาดได้มาก ซึ่งเป็นความก้าวหน้าทางการรักษาโรคมะเร็งปอดในปัจจุบันนี้ กรณีถ้าโรคดื้อยา เกิดโรคเป็นซ้ำ นอกจากยาเคมีบำบัดแล้ว ยังมีนวัตกรรมใหม่ซึ่งเป็นยารักษาตามเป้าหมาย ที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้ได้ผลดียิ่งขึ้น

แต่ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือ ผู้ป่วยบางส่วนไม่กล้ามาพบแพทย์ เนื่องจากหวาดกลัวต่อวิธีรักษาและผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นจากการให้ยาเคมี บำบัด หรือมาพบแพทย์ก็ต่อเมื่ออาการอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว ซึ่งในปัจจุบันแนวทางการรักษาและยามะเร็งนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เข้าใจ เนื่องจากได้มีการพัฒนาคิดค้นสูตรยาใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูง เกิดผลข้างเคียงกับผู้ป่วยน้อยลง และเอื้อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ อย่างไรก็ตาม ความรักความเข้าใจจากครอบครัว และกำลังใจอันเข้มแข็งของผู้ป่วยเอง จะเป็นพลังสำคัญให้ผู้ป่วยเอาชนะโรคร้ายได้สำเร็จในที่สุด” รศ.นพ.นรินทร์ กล่าว

โดย…มัลลิกา นามสง่า
จาก โพสทูเดย์

วิธีพิชิตโรคมะเร็ง

วิธีพิชิตโรคมะเร็ง

ทุกๆ 6 วินาที ทั่วโลกจะมีผู้คนเสียชีวิตด้วยโรค มะเร็ง 1 คน ในปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยโรค มะเร็ง ได้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้ก็เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของพี่น้องประชาชนคนไทยด้วย หลายคนท้อแท้สิ้นหวังเมื่อทราบว่าตนเองหรือญาติป่วยเป็นโรค มะเร็ง หลายคนสับสนและตื่นตระหนก เพราะเข้าใจว่าโรค มะเร็ง ไม่มีทางรักษาให้หายได้ ชีวิตที่เหลืออยู่จึงสิ้นหวัง

ที่จริงแล้วในโลกปัจจุบันนี้มีโรค มะเร็ง หลายชนิดที่สามารถถูกวินิจฉัยได้จากการตรวจสุขภาพประจำปี หรือการตรวจด้วยตนเองที่บ้าน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น และเมื่อตรวจพบแล้วก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ มะเร็งบางชนิดสามารถใช้วิธีการรักษาหลายๆ วิธีร่วมกันก็จะช่วยยืดอายุออกไปได้อีก แต่ก็มีบางชนิดเช่นกันที่ไม่สามารถรักษาได้หรือให้ผลการักษาที่ไม่ดี

ด้วย เหตุนี้ การศึกษาค้นคว้าวิจัยเพื่อหาวิธีการต่างๆ ในการรักษาโรค มะเร็งเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี และมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์น้อยที่สุด จึงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันบางโรงพยาบาลสามารถใช้เทคนิคการแพทย์ แบบองค์รวม (Holistic Medicine) ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรค มะเร็ง นั่นคือการใช้การแพทย์แผนปัจจุบัน ได้แก่ การผ่าตัด การฉายรังสี เคมีบำบัด ร่วมกับการแพทย์ทางเลือกในการรักษาโรค มะเร็ง เช่น สมุนไพร เป็นต้น เพราะการแพทย์แผนปัจจุบันมีความสามารถในการทำลายก้อน มะเร็ง ค่อนข้างสูง แต่ขณะเดียวกันก็ทำงายเซลปกติของร่างกายด้วย จึงก่อให้เกิดผลข้างเคียงตามมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการประยุกต์ใช้แพทย์ทางเลือกดังกล่าวนอกจากจะเสริมประสิทธิภาพการ รักษาให้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยลดความทรมานจาก ผลข้างเคียง อันไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมี คุณภาพชีวิต ที่ดีขึ้น และช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและครบสมบูรณ์ ไม่ต้องหยุดหรือเลื่อนการรักษาและเพื่อให้การรักษาต่างๆ มีประสิทธิผลสูงสุด อีกทั้งในผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับการรักษาแบบแผนปัจจุบันได้ก็สามารถรับยา หรือการรักษาแบบเสริมเข้าไปช่วยได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สมุนไพร รักษาโรค มะเร็ง ก็มีข้อเสียตรงที่ออกฤทธิ์ช้า จะไม่เห็นผลทันที แต่จะค่อยๆ ออกฤทธิ์อย่างช้าๆ โดยไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย

ในการรักษาโรค มะเร็ง ที่เหมาะสมก็คือการใช้การรักษาทั้ง 2 ควบคู่กันไปแบบผสมผสานจึงจะได้ประสิทธิผลการรักษาสูงที่สุด และหากเมื่อนำการรักษาแบบผสมผสานทั้ง 2 แบบแล้ว การรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรค มะเร็ง คงไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

ใน การรักษาผู้ป่วยโรค มะเร็ง นั้น สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้ามไป คือ “คุณภาพชีวิต” ปัจจุบันการรักษา มะเร็ง ด้วยหลักของแพทย์แบบแผนตะวันตก ยังเป็นการรักษาโดยตรงที่สัมฤทธิ์ผลมากที่สุด แต่ผลข้างเคียงที่ตามมาก็ทิ้งความเจ็บปวดทั้งกายและใจแก่ผู้ป่วยไม่น้อย ดังนั้นจึงเริ่มมีการบำบัดร่วมกันระหว่างวิธีแพทย์แผนตะวันตก และแพทย์แผนโบราณกันมากขึ้น และไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญในเรื่องการรักษาอย่างเดียว ประเด็นเรื่อง คุณภาพชีวิต ภูมิคุ้มกัน การฟื้นฟูร่างกายและจิตใจก็ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น ก็เพื่อให้ผู้ป่วยโรค มะเร็ง สามารถทนต่ออาการข้างเคียงของการรักษาที่มีอาการข้างเคียงที่รุนแรง แต่ผู้ป่วยยังคงสามารถทนได้และมี คุณภาพชีวิต ที่ดีเหมือนไม่ได้ป่วยเป็นโรค มะเร็ง

ที่มา
http://health.deedeejang.com/news/the-way-conquers-the-disease-cancer.html