วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

“หมอหทัย” แฉเครื่องมวนบุหรี่ขายเกลื่อน เตือนใช้ นสพ.มวนสูบยิ่งเร่งมะเร็ง


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต



พบเครื่องมวนบุหรี่ขายเกลื่อนตลาดนัด “หมอหทัย” รับไทยไม่มีกฎหมายห้ามขาย เตือนใช้กระดาษ นสพ.มวนบุหรี่ เพิ่มโอกาสเสี่ยง “มะเร็ง”

นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย กล่าวว่า ขณะนี้พบว่าตามตลาดนัดในสถานที่ต่างๆ มักมีการนำเครื่องมวนบุหรี่ด้วยตัวเองไปวางขาย ซึ่งยอมรับว่า ในประเทศไทยไม่มีกฎหมายที่จะไปห้าม ขณะเดียวกัน ในประเทศต่างๆ ก็ไม่สามารถห้ามได้เช่นกัน เพราะการสูบบุหรี่มวนเองเป็นสิทธิส่วนบุคคล และเริ่มเป็นที่นิยมหลังจากที่ภาครัฐมีการขึ้นภาษีบุหรี่ ซึ่งทำให้บุหรี่ที่วางขายตามท้องตลาดราคาที่สูงขึ้น ทำให้มีคนบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีมีกำลังซื้อไม่มาก หันไปใช้วิธีซื้อยาเส้นและเครื่องมวนบุหรี่มาทำบุหรี่สูบเองมากขึ้น ซึ่งจากตัวเลขในปัจจุบันพบว่าคนไทยนิยมทำบุหรี่สูบเองมากกว่าร้อยละ 50 เพราะไม่ต้องการซื้อบุหรี่ที่มีราคาแพงจากการขึ้นภาษีบุหรี่ของทางรัฐบาล

“ยอมรับว่า การที่มีเครื่องมวนบุหรี่วางขายตามที่ต่างๆนั้น ส่งผลให้มาตรการในการรณรงค์การเลิกสูบบุหรี่ของหน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชนทำได้ลำบาก และอีกปัจจัยที่มีความสำคัญ และทำให้มาตรการห้ามสูบบุหรี่ในพื้นที่ห้ามสูบยังไม่ค่อยเกิดผล คือ การบังคับใช้กฎหมายมักไม่ค่อยได้ผล ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่อ่อนมาก ซึ่งมีสาเหตุหนึ่งมาจากการที่ต้องร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจจับ เพราะเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขไม่มีอำนาจในการตรวจจับ และที่ผ่านมาก็ยังไม่ค่อยได้รับความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่าที่ควร” นพ.หทัย กล่าว

นพ.หทัย กล่าวต่อว่า ประเด็นสำคัญที่น่าห่วงในการทำบุหรี่สูบเองคือ มีการนำกระดาษหนังสือพิมพ์มาใช้มวนบุหรี่ แทนกระดาษที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้มวนบุหรี่โดยตรง เพราะมองว่าสามารถใช้แทนกันได้ และจะเป็นการประหยัดไม่ต้องไปซื้อกระดาษมวนบุหรี่ จะพบมากในคนต่างจังหวัด ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่อันตรายมากเพราะในตัวของบุหรี่เองก็มีสารก่อมะเร็งอยู่แล้ว หากใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ซึ่งมีหมึกพิมพ์ไปมวนบุหรี่อีก ก็จะส่งผลให้เป็นมะเร็งได้ง่ายขึ้น เพราะในตัวหมึกพิมพ์จะมีสารตะกั่ว และโลหะหนัก การนำมามวนบุหรี่ก็เหมือนกับการสูบโลหะหนักเข้าร่างกาย ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น


ที่มา
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000057879

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

"ตกขาว" ภัยเงียบของผู้หญิง




รูปก้อนเนื้อมะเร็งปากมดลูกของจริงที่ถูกตัดออกมาพร้อมปากมดลูก

บทความนี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อสุภาพสตรีทุกท่าน จึงส่งต่อมาเพื่อเป็นวิทยาทาน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านไม่มากก็น้อยนะครับ เพื่อเป็นบุญต่อผู้ที่ส่งมาให้ผมได้รับสืบไป

แน่ใจหรือว่าเป็นตกขาวปกติ?
ที่ผมเรียกตกขาวว่าเป็น 'ภัยเงียบ' ก็จากสาเหตุที่จะกล่าวต่อไปนี้ โดยจากประสบการณ์ที่ผมตรวจคนไข้มานั้นจะสังเกตว่าถ้าเป็นคนไข้สาวๆที่มีตกขาวมักจะรอนานจนเป็นหนักจึงมาตรวจ เพราะในสมองจะคิดหาข้ออ้างไว้ประการหนึ่งคือ

'คงเป็นตกขาวปกติ ไม่มีอะไรหรอก'

ที่กล่าวว่าเป็นการอ้างก็เพราะเป็นธรรมดาของหญิงไทยที่มักจะขี้อาย เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้บ้าง ไม่เหมือนบ้าง แต่ก็มักจะอายกันเป็นส่วนใหญ่ ผิดกับเด็กหญิงอเมริกันที่เริ่มตรวจภายในกันตั้งแต่วัยทีนเอจ แต่ก็เป็นข้อดีไม่น้อยเพราะทำให้อัตราการตายจากโรคมะเร็งปากมดลูกไม่สูงเท่าในคนไทยเรา เพราะเมื่อตรวจภายในได้ส่องเข้าไปดูถึงปากมดลูก ถ้าเห็นติ่งเห็นก้อนอะไรผิดปกติก็สามารถตัดและแก้ได้ทันตั้งแต่เนิ่นๆ มะเร็งยังไม่ทันลามไปต่อมน้ำเหลืองก็สกัดได้ทันก่อน พอมาเห็นคุณย่าคุณยายบ้านเราที่กว่าจะตรวจพบมะเร็งก็ 'สายเสียแล้ว' ถึงรู้สึกเสียใจและเสียดายมากๆทีเดียวครับ

สิทธิการิยะ ท่านว่าลักษณาการของตกขาวปกตินั้นประกอบด้วย เมือกสีขาวนวลคล้ายแป้งเปียก โดยมากมักไม่มีกลิ่นหรือในบางคนอาจมีอมเปรี้ยวได้บ้างเล็กน้อย(หมายถึงกลิ่นนะครับ ส่วนรสเปรี้ยวคงไม่มีใครไปชิมให้)ด้วยฤทธิ์ของแบคทีเรียสร้างกรดตัวหนึ่งชื่อ 'แลกโตบาซิลลัส' ที่สร้างกรดแลกติกออกมา ตกขาวปกตินี้เรียกอีกอย่างว่าตกขาวตามธรรมชาติมีไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้ามารอนราญช่องช่องคลอด มักจะมีออกมามากในสี่ช่วงเวลาชีวิตสาวๆ ดังนี้

1) ก่อนมีประจำเดือน
2) หลังมีประจำเดือน
3) ช่วงไข่ตก
4) ระหว่างตั้งครรภ์

แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นกับพื้นเพเดิมด้วยว่าเราเคยมีตกขาวเยอะเพียงใด ถ้าเคยมีเพียงน้อยนิดแล้วจู่ๆก็มีมากขึ้นจน 'ติดกางเกงใน' อย่างนี้แม้จะดูเหมือนเป็นตกขาวธรรมชาติก็ต้องเอะใจสักหน่อยแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นต้นว่า 'ท้องหรือเปล่า?' หรือถ้าเป็นแป้งเปียกมากเสียจนเหมือนลิ่มนมที่เด็กอาเจียนออกมา นั่นคือติดเชื้อรากลุ่มยีสต์หรือแคนดิดาแล้วครับ เพราะเชื้อรากลุ่ม 'น้องดา' นี้ก็มักจะชอบที่อับๆ ชื้นๆ เช่นในช่องคลอด ยิ่งใครชอบใส่ชุดว่ายน้ำรัดๆไปว่ายน้ำ หรือใส่ผ้าอนามัยอับสักหน่อยล่ะก็เหล่าน้องดาจะเจริญงอกงามอลังการทีเดียวแต่ไม่ถึงงอกเป็นเห็ดหรอกครับ แค่สร้างสปอร์เพื่อขยายเผ่าพันธุ์เพิ่มเท่านั้นแหละครับ โดยวิธีป้องกันตกขาวปกติไม่ให้กลายไปเป็นติดเชื้อน้องดาหรือแคนดิดานี้ก็มีเคล็ดวิธีง่ายๆ ที่ผม(ให้ผู้ป่วย)ใช้แล้วได้ผลดี คือ

1) ถ้ามีตกขาวพยายามอย่า สวนล้างบ่อย หรือใช้น้ำยาล้างจุดซ่อนเร้นบ่อยจนเกินไป สาวๆหลายท่านมักบอกว่าที่ต้องใช้บ่อยเพราะ 'ไม่มั่นใจ' แต่ขอให้มั่นใจเถิดครับว่าการมีตกขาวนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้ามันสะอาดมากเกินไปเสียก็เท่ากับว่ากรุยทางให้เชื้อร้ายบุกเข้าสู่ภายในมดลูกได้ง่ายขึ้น

2) อย่าฉีดล้างภายในช่องคลอด บางคนสูญเสียความมั่นใจขนาดหนักเมื่อมีตกขาว ล้างด้วยน้ำยายังไม่พอ ขอฉีดซู่ซ่าเข้าไปข้างในให้สะอาดสะใจ เรียกว่าถ้าล้วงมดลูกออกมาล้างได้ก็คงทำไปแล้ว ขอเถิดครับอย่าทำเลย ค่อยๆ ใช้น้ำสะอาดนี่แหละครับล้างเบาๆ ก็พอ เพราะยิ่งคุณฉีดน้ำจากหัวฉีดหรืออะไรก็แล้วแต่เข้าไปจะยิ่งดันให้เชื้อจากในช่องคลอดวกกลับเข้าไปข้างใน และท่อปัสสาวะซึ่งอยู่เหนือช่องคลอดก็จะพลอยได้รับเชื้อไปด้วย สังเกตง่ายๆ เลยว่าเวลาช่องคลอดอักเสบมักพาให้เกิดท่อปัสสาวะอักเสบ ฉี่บ่อยๆ ฉี่ขัดๆ ไปด้วย ก็ด้วยเหตุที่กล่าวไปฉะนี้แล

3) อย่าใช้กางเกงในอับๆหรือชื้นๆ ฟังดีๆนะครับนี่คือเคล็ดวิชาสุดยอดเลย ให้เอากางเกงในตากแดด ห้ามตากพัดลมจนแห้งนะครับ ด้วยเหตุที่ว่าแสงยูวีจากแดดจะช่วยทำลายสปอร์เชื้อราได้ดีกว่ามาก

รูปเมื่อนำก้อนรามาย้อมแล้วส่องกล้องจุลทรรศน์จะพบเชื้อราเป็นสายพร้อมกับสปอร์ที่กำลังแบ่งตัว

ตกขาวหนอง!
ตกขาวในกรณีนี้จะไม่ค่อยขาวสนิทสวยงามเสียทีเดียวมักเป็นตกขาวปนเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่น 'อับ' แบบพิเศษที่ถ้าใครเคยได้กลิ่นสักครั้งจะจำได้ดี เพราะกลิ่นอันไม่โสภานี้เกิดจากการ 'หมัก' ของแบคทีเรียบางชนิดในช่องคลอด และในบางคราวมีเชื้อปรสิตจำพวกพยาธิปนอยู่ด้วยซึ่งจะทำให้ตกขาวเป็นฟองและคันยุบยิบ ถ้าสรุปเป็นข้อง่ายๆก็คือ

1) ถ้าตกขาวปนเขียวหรือปนเหลือง มีกลิ่นอับ มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเชื้อหนองในแท้ หนองในเทียมหรือคลามัยเดีย(Chlamydia) ก็จัดเป็นผู้ร้ายในกลุ่มนี้ด้วย

2) ถ้าตกขาวเป็นน้ำไหลโจ๊กหรือเป็นฟอง มักเกิดจากเชื้อปรสิตพยาธิ พวกทริโคโมแนส หรือเรียกสั้นๆว่า 'ทีวี(TV)' ซึ่งคนละเรื่องกับโทรทัศน์

รูปตกขาวสีเหลืองหรือเขียวร่วมกับมีกลิ่นผิดปกติเป็นสัญญาณเตือนของการติดเชื้อภายใน


ตกขาวที่ผิดปกตินี้มักร่วมกับอาการเจ็บป่วยของอวัยวะใกล้เคียงด้วยได้แก่ มีแผลริมอ่อน,บริเวณปากช่องคลอด, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, อุ้งเชิงกรานอักเสบ และถ้าในรายที่เป็นรุนแรงจะลามไปถึงปีกมดลูกทั้งสองข้างกลายเป็นกระเปาะหนองหรือฝีป่องอยู่ข้างในเรียกย่อๆว่า 'ทีโอเอ(TOA,Tuboovarian abscess)' ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับชื่อสีทาบ้านใครทั้งสิ้น

ถ้าท่านใดสงสัยว่าจะเป็นนะครับให้ลองสังเกตดูบางทีจะมีตัวรุมๆหรือเหมือนมีไข้ต่ำๆร่วมด้วย เพราะว่ามันคือการติดเชื้อน่ะครับ ลองนึกดูว่าขนาดเรามีฝีข้างนอกยังจับไข้เลย แล้วนี่ดันมีฝีทั้งก้อนอาศัยอยู่ในเรือนกายมันย่อมทำให้ 'ร้อนใน' รู้สึกไม่สบายเนื้อตัวแน่ๆ เวลาที่เจอคนไข้ที่สงสัยว่าจะเป็นเช่นนี้ผมมักจับทำอัลตร้าซาวน์ดูทุกคน เพราะเป็นวิธีง่ายๆ ที่แค่จรดหัวอัลตร้าซาวน์ลงไปคุณก็อาจจ๊ะเอ๋กับก้อนฝีนานาพันธุ์แล้วครับ เท่าที่เคยเจอมามีตั้งแต่ขนาดเท่าลูกบอลย่อมๆ ไปจนถึงเกาะกันเป็นพวงหนองคล้ายพวงองุ่น เห็นแล้วน่ากิน เอ้ย น่าขนลุกใช่เล่น



รูปก้อนฝีอักเสบรุนแรงที่ปีกมดลูกมีลักษณะเป็นกลุ่มคล้ายพวงองุ่น

ดูแล 'กันและกัน' ให้ดีจะไม่มีภัยเงียบจากตกขาว
ที่ไม่บอกให้ดูแลแต่ 'ตัวเอง' นั่นก็เพราะส่วนใหญ่ตกขาวในสตรีวัยเจริญพันธุ์นั้นมักเกิดจากเพศสัมพันธ์ ซึ่งฟังดูเหมือนเป็นโรคน่ารังเกียจ เกิดจากคู่นอนสำส่อนอะไรเทือกนั้น แต่ขอให้ใจเย็นๆครับ ฟังทางนี้ก่อน อย่าเพิ่งด่วนไปทะเลาะชวนตีให้ชุลมุนกัน เพราะการเกิดตกขาวใช่ว่าจะเกิดจากฝ่ายชายนอกใจไปมีอะไรกับกิ๊กเสมอไป ในหลายคราวที่เพศสัมพันธ์ไม่สะอาดหรือรุนแรงก็อาจทำให้เกิดรอยแผลฉีกขาดเล็กๆ ในช่องคลอดซึ่งเราไม่ทราบ

แล้วเมื่อประกอบกับพฤติกรรมทำร้ายช่องคลอดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จำพวก ใช้น้ำยาล้างภายในอย่างดุเดือด แถมด้วยฉีดน้ำเข้าไปชำระแบบถึงลูกถึงคนอีก ก็ยิ่งทำให้เชื้อลามเข้าไปติดข้างในง่ายขึ้น หรือบางท่านไปเที่ยวทะเล ใส่ชุดว่ายน้ำลงเล่นน้ำจนเพลินเดินขึ้นมากินส้มตำจนชุดแห้งแล้วก็ลงไปเล่นอีก อย่างนี้ก็จะนำไปสู่การได้เชื้อราแถมตอนกลับบ้านด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้นคำถามยอดฮิตที่คนไข้ชอบถามอีกอย่างคือ ตกขาวแล้วกินอะไรไม่ได้บ้าง ถ้าให้ผมแนะก็คือไม่อยากให้กินของหมักของดองและพวกอาหารทะเลครับ ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนไม่เกี่ยวกัน แต่จากการสังเกตก็พบว่าบางท่านพอทานไปแล้วยิ่งตกขาวหนักขึ้นได้ อาจเนื่องมาจากสารกลุ่มไนโตรซามีน(Nitrosamine) ที่มีมากในโปรตีนเนื้อสัตว์ ซึ่งสารตัวนี้ถือเป็นสารก่อมะเร็งที่สำคัญตัวหนึ่งที่จะฟอร์มตัวได้ดีถ้าอยู่ในภาวะที่เป็นกรดเช่นในกระเพาะอาหารมนุษย์

แต่อย่าลืมว่าช่องคลอดคนเราก็เป็นกรดเหมือนกันนะครับจากแบคทีเรียแลคโตแบซิลลัสที่ผมได้กล่าวไป บางทีถ้าร่างกายได้รับโปรตีนมากๆมันก็กลายสภาพเป็นกรดอะมิโนเข้ากระแสเลือดไปตามที่ต่างๆได้เหมือนกัน ดังนั้นก็ขอฝากหัวใจสำคัญเรื่องตกขาวทิ้งท้ายไว้ว่า

1) ถ้ามีตกขาวก็อย่าลืมสังเกตว่ามันเป็นตกขาวธรรมชาติหรือไม่
2) ถ้าไม่ใช่ก็ให้รีบจรลีไปพบแพทย์ก็อย่าลืมพาคู่รักไปตรวจด้วยนะครับ เพราะเขาก็อาจมีเชื้อได้เหมือนกัน (หรือเขาเองนั่นแหละเอาเชื้อมาให้เรา)
3) อย่าทนรอให้เป็นตกขาวนานๆแล้วค่อยเยื้องกรายมาตรวจนะครับ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณมรณะของเชื้อไวรัสเอชพีวีที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกก็เป็นได้

เห็นไหมครับ ง่ายๆเพียงเท่านี้ ลองเป็นหมอให้ตัวคุณเองดูก่อนจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังเพราะเจอพิษร้ายจาก 'ภัยเงียบ' เล่นงานเอา

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

เตือนภัย : ดื่มน้ำอัดลมหวานๆประจำอาจเสี่ยงกับ มะเร็งของตับอ่อน


เตือนภัย : ดื่มน้ำอัดลมหวานๆประจำอาจเสี่ยงกับ มะเร็งของตับอ่อน

วารสารวิชาการ "การระบาดวิทยา ตัววัดความเสี่ยงและการป้องกันมะเร็ง" ของสมาคมวิจัยมะเร็งแห่งอเมริกา รายงานว่า มีการศึกษาพบว่า การดื่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีรสหวาน จะทำให้เสี่ยงกับการเกิดเป็นมะเร็งของตับอ่อน อันเป็นมะเร็งที่ทำให้ถึงตายได้มากที่สุดชนิดหนึ่ง อย่างน่าหวาดหวั่น

รายงานผลการศึกษาส่อว่า เพียงแค่ดื่มอาทิตย์ละเพียง 2 หน ก็ทำให้โอกาสที่จะเป็นโรคเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า

ผู้ช่วยศาสตราจารย์มาร์ค พีไรนา ของโรงเรียนสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมินเนโซตา ผู้เขียนรายงานอาวุโส กล่าวว่า "ระดับน้ำตาลในเครื่องดื่มที่สูง อาจจะไปหนุนระดับอินซูลินในร่างกายให้สูงขึ้น ซึ่งคิดว่ามีส่วนช่วยเป็นปุ๋ยให้เซลล์มะเร็งตับอ่อนเติบโตขึ้น"

ผลการศึกษาแจ้งต่อไปว่า "ผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมอาทิตย์ละ 2 หนขึ้นไป จะมีอัตราเสี่ยงกับโรคสูงขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่ม ถึงร้อยละ 87 ซึ่งไม่พบลักษณะแบบเดียวกัน เกิดในหมู่ผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้น".



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ดื่มชาป้องกันมะเร็งรังไข่


ดื่มชาป้องกันมะเร็งรังไข่

สตรีควรจะดื่มชาไม่ว่าชาเขียวหรือชาดำเอาไว้ประจำ วันละ 1–2 ถ้วย จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งของรังไข่ลงได้ ตั้งครึ่งหรือมากกว่านั้น

นักวิจัยมหาวิทยาลัยแห่งวอชิงตัน ของสหรัฐฯ สังเกตพบจากการศึกษากับผู้หญิง 2,000 คน ว่า สามารถหนีห่างโรคมะเร็งรังไข่ได้ตั้งร้อยละ 54 ชั่วการดื่มชาเขียวประจำวันละ 1-2 ถ้วย

ขณะที่สถาบันการแพทย์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ก็ศึกษาพบว่า สตรีที่ดื่มชาดำวันละอย่างต่ำ 2 ถ้วย จะลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งรังไข่ ลงได้เกือบร้อยละ 50

การศึกษาทั้งสองแห่ง ได้ ยืนยันสรรพคุณของชาดำและชา เขียวในการป้องกันมะเร็ง นอกจากที่เคยสังเกตพบว่า ช่วยบำรุงหัวใจ สมองและลดปริมาณไขมันเลวในเลือดลงได้


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ดื่มชาร้อน เสี่ยงมะเร็ง


ดื่มชาร้อน เสี่ยงมะเร็ง

การดื่มน้ำชาที่ร้อนจัดนั้นไม่ดีและควรรอสัก 2-4 นาทีเพื่อให้น้ำชาเย็นลง จะลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งหลอด อาหารส่วนต้น

"สถาบันชา" หรือ "ทีเคาซิล" ของอังกฤษได้ศึกษาการดื่มชาของประชาชนจากจังหวัดโกลสถาน ประเทศอิหร่าน ที่นิยมดื่มน้ำชาขณะที่ร้อนเกิน 70 องศาเซลเซียส และพบว่า มีจำนวนผู้เป็นมะเร็งชนิดนี้สูง ซึ่งแต่ละปีโรคมะเร็งหลอดอาหารส่วนต้นคร่าชีวิตประชาชนราว 500,000 คน

นายบิล กอร์แมน เจ้าหน้าที่สถาบันชา กล่าวว่า "ผู้ที่ดื่มชาร้อนกว่า 70 องศามีโอกาสเป็นมะเร็งหลอดอาหารส่วนต้นสูงกว่าปกติถึง 8 เท่า ถ้าดื่มชาร้อน 65-69 องศา โอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 2 เท่า ความร้อนที่ดีที่สุดในการดื่มชาคือ 60 องศา และเราไม่พบว่า การดื่มชามากจะทำให้โอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งมีมากขึ้น"