วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

สมาธิบำบัดกับการรักษาโรคมะเร็ง(3)

คือจริงอยู่ รพ.ผมไม่ได้เป็นอย่างนี้ ที่รพ.คนไข้เป็นมะเร็ง มารออีก 6 เดือนตายทั้งนั้น ภาคอีสานมีมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี มาถึงปุ๊บ ผมก็รู้เลยว่าครอบครัวเขาเศร้ามากเลย พอหมอตรวจเสร็จ หมอจะเอ่ยบอกเป็นอะไร ญาติจะมาสะกิดแล้วว่า อย่าบอกๆเดี๋ยวทรุด คือจะเป็นอย่างนี้ คือหมอจะรู้อยู่ว่าเวลาจะทำอะไรตอนไหน แต่มาฟังอีกบรรยากาศหนึ่ง เป็นบรรยากาศของอโรคยศาล วัดคำประมง โดยหลวงตาพัลลภหรือพระปพนพัชร์เป็นผู้ดูแล หลวงตาจะหัวเราะตลอดเวลา คือจะหัวเราะเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี หลวงตาจะมีหลักการในการดูแลมะเร็งอีกมุมมองหนึ่งที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยในระยะสุดท้ายที่เป็นมะเร็ง

ผมขอกราบนมัสการให้หลวงตาได้บรรยายให้ท่านผู้ฟังที่เคารพได้ทราบเกี่ยวกับอโรคยศาล อาจจะเป็นใจความสำคัญที่สุดที่ท่านผู้ฟังในวันนี้อยากรู้อยากฟัง ผมขอแนะนำประวัติหลวงตาก่อน หลวงตาเป็นนักเรียนชลประทานรุ่นที่ 28 วันนี้ผมมา ก็รู้จักเพื่อนหลวงตาหลายท่านที่มาในวันนี้ แล้วก็เป็นผู้ที่จัดการอบรมในครั้งนี้ด้วย ปี 2519 จบวิศวะได้ วศบ.ชลประทานมหาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นรุ่นที่มีการเคลื่อนไหวทางด้านการเมือง สมัย 14 ต.ค. ถึง 16 ต.ค. 2519 แล้วรับราชการเป็นวิศวกรกองออกแบบกรมชลประทาน รับราชการได้ไม่นานมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ออกบวช ปัจจุบันเป็นพระภิกษุ ปพนพัชร์ จิรธัมโม เป็นเจ้าอาวาสวัดคำประมง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ถ้าท่านไปจ.สกลนคร ก็ไปอ.พรรณานิคมไปแวะที่วัดคำประมงก็จะพบท่านได้ จริงๆ ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ท่านได้เคยป่วยเป็นโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก ซึ่งการแพทย์เรียกว่า นาโซฟาริงส์ (Nasopharynx) ท่านได้ทำการรักษาผสมผสานระหว่างแพทย์แผนปัจจุบันและก็ทั้งสมุนไพรและเรื่องของธรรมชาติบำบัดสมาธิบำบัด ปัจจุบันท่านไม่เป็นแล้ว ท่านสามารถทำงานตั้งแต่ตี 4 จนถึง 5ทุ่มทุกวัน โดยไม่มีวันหยุด ไม่เคยลาพักร้อน ก็จะเห็นว่าท่านมีความมุ่งมั่นมากในการที่จะรักษา โดยที่วัดคำประมงจะไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น เป็นที่พึ่งแหล่งสุดท้าย เพราะส่วนใหญ่แล้ว พอเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย หมอก็บอกให้ไปรอตายที่บ้าน ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็มาที่ อโรคยศาล วัดคำประมง ผมก็ขอนมัสการให้ท่านหลวงตาได้ บรรยายต่อ

หลวงตา: คุณหมอศิริโรจน์กับคุณหมอพรเลิศ เคยพูดกับหลวงตาที่ รพ.รักษ์สกลให้กับคณะแพทย์ พยาบาลและผู้ที่สนใจฟังเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยในวาระสุดท้าย ในวันนี้คุณชัชวาล ก็อยากจะให้หลวงตามาพูดที่นี่ด้วยในฐานะที่เป็นพี่น้องชลประทานด้วยกัน เพราะว่าคนชลประทานทราบว่าเป็นมะเร็งเยอะ โดยเฉพาะมะเร็งใจ มะเร็งใจนี่มันแก้ยาก หลวงตาก็ต้องขออนุโมทนาคุณหมอทั้ง 2 ท่านซึ่งช่วยเหลือหลวงตาทั้งด้านการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันและก็มาช่วยเหลือกันด้วยหัวใจ มะเร็งต้องด้วยใจอย่าไปเน้นที่อื่น ถ้าเรารักษามะเร็งแล้วเรามุ่งแต่ทางกายภาพอย่างเดียวมันก็ยังไม่ได้เท่าไหร่นักหรอก เพราะว่ามันจะค่อนข้างรุนแรง อย่างเช่นว่าการรักษาด้วยเคมีบำบัด มันก็ทรมาน การฉายแสงก็ทรมาน การผ่าตัดก็ทรมาน ตรงนี้แหละที่หลวงตามองเห็นความทุกข์ความทรมานของผู้ป่วยโรคมะเร็ง ก็อดสงสารไม่ได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งจึงพากันมาจากเหนือเชียงใหม่ตรงมาถึงจากใต้ ยะลา สุราษฎร์ ภาคอีสานก็ทุกจังหวัด แล้วกรุงเทพฯนี้ก็ไป ดร.ที่จบจากอเมริกาก็ยังไปตายที่หลวงตา คือ ตายอย่างยิ้มไม่ใช่ตายอย่างร้องไห้ มันสำคัญตรงนี้ ทีนี้พูดถึงโรคมะเร็ง ไม่อยากให้ซีเรียส หลวงตาก็อยากจะถามพวกเราว่า พวกเราคงดู แดจังกึม เขาสอนรักษาโรคมะเร็งหรือเปล่าหรือสอนทำกับข้าวอย่างเดียว คือทุกคนหลวงตาอยากเห็นพวกพี่น้องยิ้มให้หลวงตาดูซิว่ามันสวยไหม คืออย่าทำใจให้มันซีเรียสกับทุกเรื่อง โดยเฉพาะการบำบัดรักษาโรคมะเร็ง เราซีเรียสไม่ได้ หลวงตาก็ต้องไม่ซีเรียสด้วย เพราะว่าคนที่ซีเรียสมาหาหลวงตาเยอะมาก ตั้งแต่ตื่นมาก็เอ้ามากันแล้ว หรือนั้นบ้านไหน เราก็ยังไม่ได้ฉันอะไรเลย บางที 11.30 น. เราก็ยังไม่ได้ฉันข้าวเลย เพราะว่ามันเยอะ คนเป็นมะเร็งมันมาก

ทีนี้เราจะทำอย่างไรถึงจะช่วยเขาได้ในระดับที่ว่าทั้งกายและใจ สมมุติว่าผ่านคุณหมอมาแล้ว มาถึงหลวงตามาจากโรงพยาบาลต่างๆไปถึง หลวงตาจะทำอย่างไง ก็คือเขาเอาหัวใจมาหาหลวงตาแล้ว เขาฝากชีวิตเลยว่าขอถวายชีวิต หลวงตาจะจัดการอย่างไรก็เชิญเลย คือบางคนเขายอมขนาดนั้น เราความรักความเมตตาที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมันยิ่งใหญ่กว่าที่จะเป็นความรักด้วยเงินตรา คือถ้าเราตั้งสมมุติฐานว่า ผู้ป่วยทุกคนที่มาหาเรา เราต้องคิดเงินเขา เราต้องคิดค่าคิดราคาเขา ผู้ป่วยบางคนก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว อย่างคนไข้มาถามหาหลวงตาก็จะถามว่าคิดค่าเท่าไหร่ ค่ารักษา ค่าหมอ ค่าพยาบาล ค่าที่พัก บอกไปว่าหลวงตาไม่คิดหรอก คิดอย่างเดียวขอให้คุณหายกลับบ้านอย่างมีความสุข อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข นั้นคือจุดมุ่งหมายของหลวงตา แต่ถ้าหากว่าคุณไม่หายคุณจำเป็นต้องตาย คุณก็ตายอย่างมีความสุขเหมือนกัน คือตายอย่างไม่กลัวตาย อย่างมีชีวิตที่ดีชีวิตแบบว่าเป็นมะเร็งกลับมีความสุขกว่าคนที่ไม่เป็นมะเร็ง คนที่เป็นมะเร็งเขามาอยู่กับหลวงตา กิจวัตรประจำวันเช่นว่า สวดมนต์ไหว้พระ สมาธิภาวนา ต้มยา ใส่บาตร ตั้งแต่เช้ามาเขาก็เดินออกกำลังกาย ที่เดินได้ก็ไปใส่บาตรแต่เช้า นั่งรถเข็นบ้าง นั่งรถส่วนตัวบ้าง ใส่บาตรแล้วก็มีความสุขในตอนเช้า พอสายๆมาก็ตรวจไข้ จ่ายยา ต้มยา กินยาสมุนไพรต่างๆ เหล่านี้คือในวัฏจักรของคนที่ป่วย จะเป็นอย่างนั้นในความเป็นจริง ทีนี้ทำอย่างไรเราถึงจะให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งเขารู้สึกว่าเขามีความสุขแล้วก็ญาติมีความสุขด้วย ตรงนี้ต้องมาปรับอารมณ์ คือปรับสภาพใจให้เขาก่อนแล้ว และก็ญาติๆคนหนึ่งป่วย คุณเอาญาติมาครึ่งโหลหมดบ้าน นั่งเครื่องบิน นั่งรถตู้ มาทั้งปิคอัพเลย มาเป็นขบวนเลย ป่วยคนเดียวอีกขบวนหนึ่งป่วยตาม ป่วยทั้งชุดเลย คนที่ไม่ป่วยบางทีเขาจะป่วยมากกว่าคนที่เป็นมะเร็งเสียอีก เขาจะตายก่อนก็มี มันเป็นซะอย่างนั้น พวกนี้เราก็ต้องเอาเขาขึ้นมาด้วย บอกอย่าป่วยตามกันไป ป่วยคนเดียวก็พอแล้ว ตอนนี้เราจะต้องใช้ธรรมะบำบัด สมาธิบำบัดในการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งคุณหมอศิริโรจน์จะไปช่วยหลวงตา คุณหมอก็จะไปอยู่ตรงนั้น วันหนึ่งก็หลายชั่วโมงกว่าจะกลับก็ 4-5-6 ทุ่ม ซึ่งก็ต้องใช้หัวใจเยอะ ใช้ความตั้งใจสูงในการที่จะทำงานตรงนี้ และงานอโรคยาศาล คุณหมอศิริโรจน์กับคุณหมอพรเลิศบอก สิ่งที่หลวงตาทำมันเป็นสิ่งที่ดีมากแม้แต่ในอเมริกาเขายังทำไม่ได้อย่างนี้ มันเป็นการจุดประกายมิติใหม่ มิติหนึ่งของการรักษา ซึ่งเราจะต้องทุ่มเทความรัก ความเมตตาและหัวใจให้กับผู้ป่วยอย่างมาก โดยที่ว่าความสุขของตัวเองเอาไว้ทีหลัง ไม่ต้องคิดถึงเอาแต่พอประทังชีวิตไปได้ แต่ว่าเราต้องเห็นผลประโยชน์ของผู้ป่วยมาอันดับหนึ่งไม่ใช่แค่เพียงร่างกาย ว่าดวงจิตดวงวิญญาณด้วย หัวใจเขาต้องร่าเริงเบิกบาน อย่างผู้ป่วยมะเร็งของหลวงตานับตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน 260 คน (พฤษภาคม 2549) มันก็มีหลากหลายที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแทบทั้งนั้น คือเมื่อเขาตายเขาก็ยิ้ม เขาบอกไม่ต้องห่วงเขาเลย เขาจะไปอยู่กับหลวงตา จริงๆเวลาตายเขาก็มาเข้าฝัน เข้าฝันผู้ป่วยบอกว่าหลวงตาทำไมไม่ให้เข้าไปล่ะ เขาตายแล้วหรืออะไรอย่างนี้ คือหัวใจเขามีความรักผูกพันความซาบซึ้งในความรักความเมตตาที่เราให้กับเขา คือเราก็รู้ว่าหนักมากเกินที่จะเยียวยา เราก็ปรึกษาหมอเขาอยู่ได้อย่างไร ค่า GPT-GOT อัลคาลายฟอสฟาเตส (Alkaline Phosphatase) ค่าในเลือดบอกเซลล์มันอยู่ไม่ได้แล้ว แต่เขายังอยู่ได้อีกนาน บางคนเป็นปีๆ พอตายก็ตายไม่มีความทุกข์คือไม่ปวดไม่เจ็บ คือหลวงตาพูดไม่ใช่พูดให้พวกเราเป็นมะเร็ง ถ้าอยากจะเป็นก็ได้ หลวงตาก็รับหมด คือจะเป็นซีอะไรก็แล้วแต่ ซี8 ซี9 ซี10 เหมือนกันหมด นั่นคือจะเป็นซีอะไรที่ไม่อยากให้มีความทุกข์กับเรื่องความเป็นมะเร็งมากกว่า ให้รู้จักว่าการเป็นมะเร็งเนี่ยมันสามารถสร้างวิกฤติในชีวิตของเราให้เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ ชนิดที่ว่าพลิกจากชีวิตที่อยู่นรกเนี่ยให้กลายเป็นสวรรค์ แล้วถึงที่สุดถึงนิพพานได้ อันนี้ต่างหากล่ะที่มันเป็นความน่ารักของโรคมะเร็ง แล้วความน่ารักของโรคมะเร็งมีตั้งเยอะ มีหลากหลายอย่าง เคสที่อยู่ในวัดสิบกว่าเคส มีทั้งเต้านม มีทั้งตับ มีทั้งอะไรต่ออะไรเยอะแยะ แต่เขามีความสุขในการที่เขาอยู่ เขาป่วยแล้วเขามีความสุข เขาไม่มีทุกข์หรอก จะทำอย่างไรถึงทำให้ผู้ป่วยทุกคน ญาติผู้ป่วยทุกคนมีความสุขในการที่เป็นโรคและขณะเดียวกันก็อยู่กับโรคมะเร็งได้ โดยที่มะเร็งกับเราไม่เป็นคู่ศัตรูกันแต่เป็นมิตรกัน

หลวงตาจะมีวิธีการว่า คือไม่ใช่วิธีการแต่เป็นธรรมชาติมากกว่า วิธีการมันมาพูดทีหลัง แต่ในจริงๆคือธรรมชาติของชีวิตเรา เข้าใจชีวิตมันต้องเป็นอย่างนี้แหละ ถึงคุณไม่เป็นมะเร็ง คุณก็ต้องเป็นโรคอื่น ถึงคุณไม่ตายวันนี้ วันต่อไปมันก็ตาย แต่บังเอิญว่าคุณโชคดี คุณได้เจอมะเร็งวันนี้ อย่าไปคิดว่ามันโชคร้าย ถ้าคุณคิดว่าคุณโชคร้ายเพราะมะเร็ง ถ้ามะเร็งไม่ใช่เพื่อนคุณเขาคงไม่มาแสดงว่าเขาเป็นเพื่อนซี้เพื่อนตายกับเรา เขาตายพร้อมกันกับเรา ถ้ามะเร็งตายเราตาย เราตายมะเร็งตาย ใช่คือเราจับมือกัน เราอยู่ด้วยกันได้นะแบบแบ่งกันกินกันใช้ ถ้อยทีถ้อยอาศัยไม่ต้องเบียดเบียน ไม่ต้องซุกซ่อนอะไร คือเปิดให้เห็นกันเลยว่าให้คนเขาเข้าใจว่าคุณเป็นมะเร็ง คุณไม่ต้องตกใจกับการเป็นมะเร็ง เพราะเรารับตรงนี้ได้ แล้วมันจะค่อยๆทำให้คนไข้มีแรง แล้วคนไข้จะมีแรงใจจะกินยา มีแรงใจที่จะรักษา มีแรงใจที่จะสวดมนต์ ก็คิดดูสิว่าคนไข้ที่เป็นมะเร็งเขามานั่งสวดมนต์ มานั่งสมาธิ หลวงตาว่ามากกว่าพวกคุณที่ไม่เป็นมะเร็งเสียอีก ถามดูซิ ทุ่มหนึ่ง-สามทุ่ม-ห้าทุ่ม ตอนเช้าตักบาตรอีกนะ ตอนสายๆก็ต้มยา บ่ายๆก็พบคนไข้เก่ามา follow up มาติดตาม มาต้มยาอีก ก็จะมาทั้งวัน ทั้งยาก็จะใช้เยอะมาก แล้วยาที่ใช้เป็นยาสมุนไพรซึ่งเป็นสมุนไพรเท่าที่สังเกตดูดีสำหรับผู้ป่วยมะเร็งพอสมควร ผู้ป่วยกินแล้วมีความรู้สึกที่ดีขึ้น การเจริญเติบโตของมะเร็งลดลง น้ำเหลือง น้ำเลือด เม็ดเลือดดีขึ้น ผลของแลบ (การตรวจโรค) มันดีขึ้นในระดับหนึ่งถึงจะไม่สุด อย่างเช่นบางคนค่า GPT GOT ALP (อัลคาลายฟอสฟาเตส) มากกว่า 1000 (ค่าปกติจะน้อยกว่า 160) พอมาดื่มยาสมุนไพรปรากฏว่าค่ามันลดลง มันลดมาใกล้เคียงปกติเรื่อยๆ (แปลว่ามันเริ่มไม่ตันแล้ว) พอถึงตอนนั้นที่สำคัญคือการสวดมนต์ภาวนา ใจมันจะนิ่ง มันจะมีพลัง พอจิตเป็นสมาธิ จิตมันนิ่ง ใจมันนิ่ง โรคมันก็นิ่งด้วย สังเกตดูคนไข้สุดท้ายๆ ถ้าใจเขาไม่นิ่งโรคมันจะลามเร็วมากเลย ก้าวกระโดดเลย แบบ 3 วัน 7 วันตายเลยก็มี พอรู้เป็นมะเร็งวันนี้ตกใจชนิดว่าเพี้ยนไปเลยและพวกนี้จะตายเร็ว แต่คนไข้คนไหนตั้งสติเขาได้ เขารับรู้พยายามที่จะทำความเข้าใจ ถึงแม้ว่าคุณหมอทางรพ.แพทย์แผนปัจจุบันบอกว่าไม่สามารถที่จะไปผ่าได้แล้วนะ เพราะว่าถ้าผ่ามันอันตรายสูงสุดแล้ว ไปให้เคมีก็ไม่ได้ ฉายแสงก็ไม่ไ ด้ คือถ้าผ่าก็คือตาย (อย่างขั้นซีไม่ขึ้นก็ทุกข์แล้วทั้งที่มันเกิดมาก็ไม่ได้ใส่ซี ใส่ขั้นอะไรเลย ก็มาใส่ทีหลังแล้ว ก็ไปทุกข์กับมัน) นี่เพราะคนเราเข้าไปยึดไปสำคัญว่าได้นี่เป็นตัวทุกข์ มันก็เลยทุกข์ซ้ำเติมทุกข์ซ้ำซ้อน แต่ถ้าเกิดเราบอกว่าเป็นเรื่องสบายเรื่องปกติ ถ้าเกิดมาแล้วเป็นมะเร็งก็คือว่าโชคดีก็แล้วกัน คุณก็ภาวนาเอาซิว่าทำไมเกิดมาเป็นมะเร็งถึงโชคดี ก็โชคดีเราจะได้พลิกวิกฤติให้มันเป็นโอกาส เป็น alert (ความตื่นตัว) เป็นสวรรค์ เป็นนิพพาน เป็นความเจิดจ้า เจิดจรัส ทางจิตวิญญาณไปเลย คือโรคมะเร็งเป็นเรื่องเล็กไปเลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเราแล้ว และการรักษานี่คนไข้ถ้ามีกำลังใจที่เข้มแข็งมันได้ผลมากกว่าคนที่ไม่มีกำลังใจ และการคิดการอ่านการพิจารณาตามขั้นตอนต่างๆมันจะค่อยๆไปตามขั้นตอน จะค่อยๆไปโดยธรรมชาติมันเอง มันรู้โดยตัวมันเองจะดำเนินไปอย่างไร อย่างสมมุติคนไข้มาหาหลวงตาคนหนึ่ง หลวงตา test ทดสอบในใจว่าเราจะต้องจับอะไร จับทิศทางของเขาจะเป็นอย่างไร แล้วค่อย take ยาเขา (การให้ยา) ขั้นตอนการ take ยา มันก็ต้องมีหลายอย่างเช่น ลุ คือการล้างพิษด้วยสมุนไพร ล้อม บำรุงร่างกายให้เขาแข็งแรงในระดับหนึ่งเพื่อจะได้รักษาคือ take ยา มะเร็งได้เต็มที่แล้วผู้ป่วยก็กินยา แต่ละคนหนักเบาก็ไม่เหมือนกันอีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น