วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

ประสบการณ์..

ปรับชีวิตพิชิตมะเร็ง (มะเร็งมดลูก)
โดย ชูศรี กุลวัฒโฑ

มะเร็ง...เปรียบเสมือนเพชฌฆาตเงียบที่น่าสะพรึงกลัวอันดับหนึ่งของมวลมนุษยชาติ เพราะมะเร็งสามารถจะคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกอย่างเงียบงัน โดยปราศจากความเมตตามาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน และยังจะรุกรานต่อไปอีกโดยไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีผู้ค้นพบนวัตกรรมใหม่บำบัดรักษา และยับยั้งการขยายตัวของโรคมะเร็งได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยไม่ส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆ ของร่างกายมนุษย์

ปัจจุบันผู้คนส่วนมากยังมีความเชื่อว่าโรคมะเร็งเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยเป็นมะเร็งแล้วจะต้องนอนรอวันตายอย่างเดียว ขณะเดียวกันปรากฏว่ายังมีผู้ป่วยมะเร็งจำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ ไม่ท้อแท้สิ้นหวัง ตั้งสติกำลังยืนหยัดกัดฟันสู้กับโรคร้ายทุกวิถีทางอย่างกล้าหาญอดทน

ความร้ายกาจอย่างหนึ่งของโรคมะเร็งคือ ไม่แสดงอาการให้ผู้ป่วยรู้ตัวตั้งแต่ระยะเริ่มแรกที่เกิดโรค ผู้ป่วยส่วนมากกว่าจะรู้ตัวอย่างชัดแจ้ง ก็ปรากฏว่าเจ้าเซลล์เนื้อร้ายนั้นได้ลุกลามแตกกระจายขยายตัวไปจนเป็นต่อร่างกายมากเสียแล้ว บางคนที่โชคร้ายมากเมื่อตรวจพบก็ปรากฏว่าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้ว

สำหรับดิฉัน ย้อนหลังไปประมาณปี 2006 ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของร่างกายคือ มีเลือดออกจากช่องคลอดเล็กน้อยทั้งที่หมดประจำเดือนมาแล้วร่วม 20 ปี เพราะปัจจุบันอายุเกือบ 80 แล้ว (เกิดปี 1934) ไม่มีครอบครัว โดยไม่นิ่งนอนใจ จึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจภายในทันที ผลการตรวจครั้งแรกคุณหมอได้วินิจฉัยว่า ผู้สูงอายุส่วนมากเนื้อเยื่อในมดลูกจะบอบบางอาจเกิดบาดแผลได้ง่าย จึงให้ครีมมาทา เพื่อให้เนื้อเยื่อนั้นแข็งแรงขึ้น ซึ่งก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัดประมาณหนึ่งเดือนยาหมด

แต่ปรากฏว่ามีเลือดออกเหมือนเดิมอาการผิดปกติอื่นไม่มี จึงได้พบคุณหมอท่านเดิมตรวจเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคุณหมอให้การรักษาเหมือนเดิมและให้กำลังใจว่า ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้น ดิฉันได้ปฏิบัติตามจนเวลาล่วงเลยไปเกือบ 2 เดือนแล้ว อาการเลือดออกยังคงเดิม จึงเริ่มไม่สบายใจอยากทราบสาเหตุของความผิดปกติโดยเร็ว จึงตัดสินใจไปพบคุณหมออีกท่านหนึ่งที่โรงพยาบาลเดิม ผลการตรวจและรักษาก็เป็นเช่นเดิมอีก จนเวลาได้ผ่านไป 3 เดือนกว่า อาการเลือดออกจากช่องคลอดไม่ดีขึ้นเลย ความวิตกกังวลใจเริ่มมากขึ้น พยายามที่จะหาคำตอบเกี่ยวกับความผิดปกติในร่างกายให้ได้ จึงได้ตัดสินใจไปตรวจครั้งที่ 4 โดยเลือกพบแพทย์หญิงท่านหนึ่งที่โรงพยาบาลเดิม ครั้งนี้มีการตรวจอย่างละเอียดและชัดเจนขึ้นโดยคุณหมอนัดให้ไปทำการขูดมดลูก เพื่อจะนำชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา และรอฟังผลการตรวจภายหลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์

เมื่อถึงวันนัดฟังผล คุณหมอได้รายงานผลการตรวจให้ทราบว่า พบมะเร็งในมดลูก โดยจะต้องได้รับการตรวจอย่างละเอียดตามขั้นตอนต่อไป เพื่อวางแผนการบำบัดรักษาตามอาการของโรคให้ดีที่สุดโดยเร็ว ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจชั่วขณะหนึ่ง ถามตัวเองในใจว่า เราเป็นมะเร็งจริงหรือ? ซึ่งคุณหมอได้เรียกญาติให้ไปรับทราบด้วย และนัดให้ไปติดต่อพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรคเพิ่มเติมโดยละเอียด เพื่อประเมินสุขภาพและหาระยะโรค ตลอดจนวางแผนการบำบัดรักษาที่ดีที่สุดต่อไป...

หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ได้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทำการตรวจเพิ่มเติมอย่างละเอียดถี่ถ้วน และแจ้งให้ทราบว่าจะต้องทำการผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออก นำชิ้นเนื้อร้ายไปตรวจสอบทางพยาธิวิทยา เพื่อให้ทราบถึงระยะของโรคและวางแผนการบำบัดรักษา ว่าจะมีการรักษาร่วมอื่นๆ เช่น รังสีรักษา และ/หรือ ใส่แร่ และ/หรือ เคมีบำบัด อย่างไรหรือไม่? โดยให้รอวันผ่าตัดใหญ่ต่อไป

การดำเนินการผ่าตัดเป็นไปด้วยดี ไม่มีการแพ้ยา และ/หรือ อาการแทรกซ้อนใดๆ ผลการตรวจชิ้นเนื้อต่างๆนั้นปรากฏว่า... เป็นมะเร็งที่เยื่อมดลูก ระยะที่ 3!! วิธีการรักษาจะต้องทำการให้รังสีรักษาจำนวน 25 ครั้ง ติดต่อกัน เว้นวันเสาร์และอาทิตย์ และใส่แร่ร่วมด้วย 3 ครั้ง โดยไม่มีการให้เคมีบำบัด นับว่าโชคดีมากที่ไม่ต้องผจญกับความทรมานในการให้คีโม และการไม่มีโรคประจำตัวอื่นๆ ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการรักษา จึงเป็นผลให้แผลจากการผ่าตัดหายเป็นปกติโดยเร็ว ส่วนการรับรังสีและการใส่แร่ก็เป็นไปด้วยดี ไม่มีอาการแทรกซ้อน และ/หรือ เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ ปรากฏเพียงอาการท้องเสียและปัสสาวะลำบากเล็กน้อยเท่านั้น

ช่วงเวลาของการพักฟื้นร่างกาย เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกาย-ใจ และสร้างภูมิคุ้มกัน รวมทั้งภูมิต้านทานร่างกายให้ดีขึ้นนั้น อาหารเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งที่จะต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ดังนั้นจึงเสาะแสวงหาตำราอาหารต้านมะเร็งมาศึกษามากมาย และพบหนังสือของชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งชื่อ “ต้านมะเร็ง...ด้วยอาหาร” ซึ่งได้ขายควบคู่กับหนังสือ “100เรื่องจริงของผู้ป่วยที่พิชิตโรคมะเร็ง”

หนังสือทั้งสองเล่มดังกล่าวเปรียบเสมือนดวงประทีปที่มาช่วยส่องแสงให้ผู้ติดอยู่ในอุโมงค์มืด ได้แลเห็นเส้นทางสว่างที่เดินออกจากมุมมืดที่น่ากลัวได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ! การที่กล่าวเช่นนั้นก็เพราะเหตุว่าใน หนังสือ “100 เรื่องจริงของผู้ป่วยที่พิชิตโรคมะเร็ง” นั้นได้มีการเขียนถึงยาสมุนไพรจีน “ยาน้ำเทียนเซียน” ซึ่งนายแพทย์หวาง เจิ้น กั๋ว เป็นผู้ค้นคว้าและวิจัยมาเป็นเวลายาวนาน จนเป็นที่ยอมรับจากสถาบันวิจัยหลายแห่ง ซึ่งเป็นที่นิยมและรู้จักของผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวนมาก ประการสำคัญ คือ สามารถประสานการรักษาร่วมกับการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันได้เป็นอย่างดี จึงตัดสินใจใช้ทันที โดยการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันก็คงดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามปกติต่อไป

หลังจากนั้นได้พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตอย่างมีระเบียบวินัย ทั้งด้านการกิน การนอน การออกกำลังกาย การพักผ่อนและการปฏิบัติธรรม เป็นต้น เมื่อเวลาผ่านไปเดือนเศษเริ่มรู้สึกว่า สุขภาพโดยรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือ ผลการตรวจเลือด ปรากฏว่าอาการตับอักเสบที่ทำการรักษามานานนับสิบปีนั้น มีค่าทำงานของตับดีขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ตับสามารถทำงานได้ดีเป็นปกติ ส่วนด้านการรักษาโรคมะเร็งโดยรวมก็ดีไม่มีอะไรผิดปกติเช่นกัน จึงมีความเชื่อมั่นว่ายาน้ำเทียนเซียนน่าจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งที่มาช่วยสนับสนุนการรักษา ให้สามารถเสริมสร้างภูมิต้านทานและเพิ่มสมรรถนะการต้านมะเร็ง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

โดยปรากฏว่า แพทย์แผนปัจจุบันที่ให้การดูแลรักษาทุกท่าน ทั้งแพทย์ผู้ผ่าตัด แพทย์ผู้ให้รังสีและฝังแร่ตลอดจนแพทย์ผู้ดูแลรักษาโรคตับอักเสบ ต่างมีความพอใจในผลการรักษาเพราะสุขภาพโดยรวมที่ดีขึ้นเป็นลำดับ แพทย์จึงได้กำหนดนัดตรวจห่างขึ้นจากเดือนละครั้งเป็น 2 เดือน, 3 เดือน และ 4 เดือน

ปัจจุบันนี้ดิฉันยังคงดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องมาตลอด เสริมสร้างพลังกายและพลังใจที่จะยืนหยัดต่อสู้กับเพชฌฆาตเงียบ คือ มะเร็งร้ายต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ไม่สิ้นหวัง ทั้งนี้ โรคมะเร็งร้ายจะหายหรือไม่หาย..ไม่สำคัญ ขอเพียงให้ปัจจุบันมีความสุขมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีกำลังใจดีอยู่อย่างมีสติก็พอใจที่สุดแล้ว


ที่มา
http://www.siamca.com/index.php?name=person&file=readknowledge&id=131

นำมาบอกกล่าว เล่าต่อ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยทุกท่านครับ ใจเราสำคัญที่สุดครับผม สู้ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น