วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตหนึ่ง...อาจมีโอกาสเลือกแค่ครั้งเดียว?

ชีวิตหนึ่ง...อาจมีโอกาสเลือกแค่ครั้งเดียว?

"คุณหมอครับ รปภ.แจ้งว่าให้คุณหมอรีบกลับบ้านด่วนเดี๋ยวนี้เลยครับ" เสียงที่ดังมาตามโทรศัพท์เป็นเสียงของประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลที่ดิฉันทำงานอยู่ ทำให้ดิฉันใจสั่น ตกใจจากการนึกไปทางเรื่องร้ายๆ

ทันทีที่เร่งรุดไปถึงบ้าน ดิฉันก็โล่งใจ เพราะใต้ต้นอินทนิลที่มีอายุหลายสิบปี มีรปภ.2คนยืนเฝ้าอยู่ บนค่าคบของต้นไม้สูงขนาดบ้าน1ชั้น ลูกชายดิฉัน2คน คนกลางกับคนเล็กยืนหน้าแหยอยู่ พวกเขาอายุ 7ขวบและ5ขวบ ทั้ง2ถือร่มขนาดเล็กที่กางแล้ว เตรียมร่อนสู่พื้น

"เดชะบุญ พวกผมมาตรวจตรา เห็นเข้าก่อน เลยห้ามไม่ให้กระโดด" รปภ.คนหนึ่งว่า

เอาบันไดพาดรับลูกทั้ง2ลงจากต้นไม้ ดิฉันถามเขาทั้ง2 พวกเขาบอกว่า...จะเหาะแบบการ์ตูนทอมแอนด์เจอรี่ เรื่องนี้เป็นตัวอย่างทำให้ดิฉันสอนพวกเขาอีกหลายครั้ง จนพวกเขาจำได้ขึ้นใจกระทั่งตอนโตว่า...ชีวิตนี้ไม่ใช่การ์ตูน ไม่มีตายแล้วฟื้น การตัดสินใจชั่ววูบอาจคือการตัดสินใจครั้งเดียวของชีวิต เพราะชีวิตหนึ่ง บางที...อาจมีโอกาสเลือกแค่ครั้งเดียว

นั่นเป็นเหตุการณ์กว่าสิบปีมาแล้ว แต่นี่คือเหตุการณ์วันนี้...

คุณป้าสมจิต(นามสมมุติ)... มาพบดิฉันที่ห้องตรวจแผนกสูติ-นรีเวชกรรม
เมื่ออ่านประวัติจากแผ่นประวัติผู้ป่วยนอก พบว่าคุณป้าอายุ55ปี มีลูก3คน
"คุณป้าสมจิตเป็นอะไรมาหรือคะ" ดิฉันถาม อันที่จริงอายุอานามของคุณป้าไม่มาก แต่เพราะคุณป้าเรียกตนเองว่าป้า ดิฉันจึงเรียกตาม

"เรื่องมันยาว เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง" คุณป้าบอก ยิ้มกว้าง ดิฉันสังเกตเห็นริมฝีปากและลิ้นสีซีด ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มออกเหลืองๆ มองเช่นนี้เดารู้ว่าคุณป้ามีโรคโลหิตจาง ซึ่งอาจจะเกิดจากโรคเรื้อรังอะไรสักอย่าง
...คุณป้าเท้าความไปยาว ตั้งแต่ 10ปีก่อน ปวดท้อง เป็นโรคกระเพาะอาหาร 9ปีก่อนเป็นโรคปวดหัว 8ปีก่อนเป็นโรคปวดขาเข่า...7ปีก่อนปวดหัว พอคุณป้าเล่า6 ปีก่อนเป็นโรค...ดิฉันขัดขึ้นว่า“ตอนนี้คุณป้ามีอาการอย่างไรจึงมาหาหมอคะ”
"ป้าปวดท้องน้อยมาก"
"ปวดท้องอย่างเดียวหรือคะ มีตกเลือด ตกขาวหรือเปล่า"
"เป็นประจำเดือนมาได้ 7 วัน"
"อายุ 55 ยังไม่หมดประจำเดือนหรือคะคุณป้า" ดิฉันถาม...คุณผู้หญิงทั่วไปมักหมด
ประจำเดือนเมื่ออายุ 49-51ปี
"หมดไปปีกว่าแล้ว นี่มาอีก"
"หมดประจำเดือนไปปีกว่าแล้ว แล้วมาอีก อย่างนี้ไม่เรียกประจำเดือนนะคะ เรียกเลือดผิดปกติ คงต้องตรวจภายในดู"
"ไม่ตรวจหรอกตอนนี้กำลังเป็นประจำเดือน" คุณป้าตอบเสียงแข็ง
"อย่างนี้ไม่น่าจะใช่ประจำเดือนนะคะ อย่างไรคงต้องตรวจภายในดูว่าเป็นอะไร"
"ไม่ตรวจ" คุณป้ายืนยัน
ดิฉันมองคุณป้าสมจิตอย่างชั่งใจ ถามว่า "วันนี้คุณป้ามาโรงพยาบาลกับใครคะ"
"ลูกสาว ลูกเขย ลูกสะใภ้ และลูกชาย"
ดิฉันกดกริ่งขอให้ผู้ช่วยฯ ตามญาติคุณป้าเข้ามาในห้อง
"ไม่ต้อง ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของฉันหมด ไม่ต้องเรียกใครเข้ามา" คุณป้าบอกเสียงดัง
ดิฉันขมวดคิ้ว "ทำไมล่ะคุณป้า เจ็บป่วยเป็นอะไรก็ต้องให้ลูกๆรู้ จะได้เข้าใจเหมือนๆกัน"
"ฉันบอกก็ได้ ปีที่แล้วฉันไปโรงพยาบาล...หมอบอกว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะ2 แต่ฉันไม่รักษา เลือดก็ไม่เคยออกมาเลยปีกว่า วันนี้มีเลือดออกปวดท้องมากฉันจึงมาขอยากิน"
"เชิญญาติๆมาคุยดีกว่านะคะ" ดิฉันบอกผู้ช่วยฯให้เชิญญาติ
พอลูกสาว ลูกเขย ลูกชาย ลูกสะใภ้ โผล่หน้าเข้าห้อง คุณป้าบอกว่า "คนอื่นๆไม่ต้องเข้ามา ให้ดาเข้ามาคนเดียว" ดา (ชื่อสมมุติ) อายุ 30ปี เป็นลูกสาวคุณป้า
"คุณดารู้ไหมคะ ว่าคุณแม่ป่วยเป็นอะไร" ดิฉันถาม...ลูกสาวพยักหน้า
"หมอจะขอตรวจคุณแม่ดู ว่ามะเร็งที่เคยเป็น ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว"
"แม่ให้หมอตรวจสิ จะได้ดูว่า หายหรือยัง" ลูกสาวว่า คนเป็นแม่จึงยอมตรวจ ดิฉันผลักประตูกลับเข้ามาในห้อง เชิญคุณป้าสมจิตและลูกสาวนั่งฟังผลการตรวจ
มองคนทั้ง2 เพื่อเลือกคำพูดที่จะพูด...เพราะขณะคนทั้ง2เชื่อว่า ยาหม้อรักษามะเร็งได้...แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของดิฉัน เมื่อไหร่ที่วินิจฉัย(จากผลพยาธิวิทยา)ว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก เมื่อนั้น...การรักษาด้วยยาหม้ออย่างเดียว...ดิฉันยังไม่เจอคนไข้หายจากโรค
คุณป้าสมจิตก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่ตรวจ ดิฉันก็รู้ว่ามะเร็งได้ลุกลามออกจากปากมดลูก ไปทั่วอุ้งเชิงกราน กินกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ ช่องคลอดส่วนล่าง กระทั่งลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองที่คอ
อาการของคุณป้าคือมะเร็งระยะสุดท้าย…เป็นขนาดนี้นับว่าคุณป้าสมจิตอดทนมาก สามารถพูดคุยได้ปกติ ทั้งที่มาหาเพราะปวดจนทนไม่ไหว

"คุณดา รู้ว่าคุณแม่เป็นมะเร็งตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำไมไม่พาไปรักษาละคะ" ดิฉันถาม
"ไม่ต้องไปโทษลูกเลย เขาบังคับให้ฉันไปรักษาแต่ฉันไม่ไป" คุณป้าสมจิตยังพูดยิ้มๆ
"แต่ตอนนี้ แม่เขายอมไปแล้วหมอ ค่าใช้จ่ายอะไรก็เบิกได้ เพราะหนูและพี่ชายเป็นข้าราชการ"
ดิฉันเชิญคุณป้าสมจิตรอข้างนอกห้อง ขอพูดคุยกับลูกสาวเพียงลำพัง รู้สึกเครียดเมื่อบอกตรงๆว่า "คุณดา หมอเสียใจที่จะบอกว่า คุณแม่ของคุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว"
"ทำไมแม่ไม่เห็นเป็นอะไร เลือดก็ไม่ออก เพิ่งมาออกวันนี้" คุณดาสงสัย
"มะเร็งที่คุณแม่ของคุณเป็น เป็นชนิดกินลึก เมื่อมีเนื้อให้กินก็กินเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อหมดเนื้อกิน เหลือแต่เนื้อตาย จึงมีเลือดตกออกมา คนหลายคนเข้าใจว่า เมื่อไม่มีเลือดออก คือมะเร็งหายแล้ว แต่ที่แท้มะเร็งกำลังกินลึกไปเรื่อยๆ"
"ก็แม่ไม่ยอมไปรักษา ปีที่แล้วหมอบอกว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะ2 ต้องรักษาโดยการฉายแสง แม่ว่า คนแถวบ้านฉายแสงแล้วตายทุกราย เป็นตายไม่ยอมรักษา ตอนนี้แม่ปวดมาก ทนไม่ไหว ยอมรักษาแล้ว ที่นี่รักษาได้ไหม" คุณดาถาม
ดิฉันยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่บอกว่า“หมอมี2เรื่อง ที่จะอธิบายให้คุณดาฟัง
เรื่องที่หนึ่ง การฉายแสงที่เล่าลือกันว่าฉายแล้วตาย ก็คือการฉายแสงรักษาคนไข้มะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้ายซึ่งมีอาการตกเลือด เจ็บปวดทรมาน แม้การฉายแสงนั้นโอกาสหายน้อยมากแต่สามารถลดการ
ตกเลือดลดความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของคนไข้ได้ แต่หากฉายแสงรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกระยะ1,2 ซึ่งเป็นระยะที่รักษาหาย โอกาสหายก็มีสูง
ปีที่แล้ว คุณป้าสมจิต เป็นมะเร็งปากมดลูกแค่ระยะที่ 2 โอกาสฉายแสงแล้วหายมีสูงมาก คนไข้หลายคนที่หมอส่งไปรักษา เป็นโรคมะเร็งปากมดลูกระยะ2 ฉายแสงแล้วหายขาด ตอนนี้อยู่กันมาเป็นสิบๆปี
เรื่องที่ 2 ที่หมออยากบอก...ด้วยความเสียดาย...ไม่ได้ตำหนิ...คือมนุษย์เรานั้น ชีวิตหนึ่งอาจมีโอกาสเลือกเพียงครั้งเดียว ปีที่แล้วคุณแม่คุณดาเลือกปิดประตูการรักษา เมื่อเลือกไปแล้วตอนนี้ขอย้อนกลับมาเปิดประตูการรักษา แม้ทำได้ แต่โอกาสหายขาดนั้นเหลือไม่มากแล้ว”

คุณป้าสมจิตกับลูกๆกลับไปพร้อมใบส่งตัวที่ดิฉันเขียนให้ไปรักษาตัวต่อที่สถาบันมะเร็งฯ เมื่อเปิดประตูออกห้องตรวจและปิดประตู ดิฉันรำลึกว่า ในชีวิตหนึ่งของมนุษย์เรา อาจมีโอกาสเลือกอะไรได้เพียงครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัก เรื่องเรียน เรื่องทำงาน หรือเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ เพราะหลายๆครั้งโชคชะตาไม่ให้โอกาสเราหวนกลับมาเลือกอีก

สิ่งที่ดิฉันไม่ได้บอกให้คุณป้าสมจิตและลูกๆไม่สบายใจไปมากกว่านี้ คือเพราะปิดประตูไม่ยอมรักษาในปีที่แล้ว โอกาสรอดชีวิตในตอนนี้นาน5ปี มีเพียงร้อยละ8

พูดอีกอย่างก็คือ แม้รักษาเต็มที่ คนไข้มะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย ร้อยคน มีโอกาสรอดชีวิตดูโลกให้ครบ5ปี มีเพียง 8คน

และคุณป้าสมจิตจะไม่ต้องตกที่นั่งลำบากอย่างนี้ หากย้อนเวลาขึ้นไปอีกสักสิบปี คุณป้าเปิดประตูเลือกการตรวจภายใน เพื่อเช็คมะเร็งปากมดลูกทุกปี ก่อนมีอาการผิดปกติ...เพราะโรคมะเร็งปากดลูกระยะแรกรักษาหายขาดได้

ที่มา
http://www.womenprotectwomen.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น