วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

สมาธิบำบัดกับการรักษาโรคมะเร็ง(5)

นพ.ศิริโรจน์ : มีคนถามว่าตั้งเป้ายอดขายของบริษัทไว้ ไม่ได้ตามเป้าทำให้เครียดคือจะต้องถูกย้ายและก็มีหนี้สินเยอะ ทำให้เครียดด้วย จะแก้อย่างไร ถึงจะซ้อมตายแบบยิ้มได้ คำถามนี้จะให้ฆราวาสตอบก่อนไหมครับ หรือจะให้หลวงตอบก่อน ฆราวาสตอบก่อนนะครับ คือการตั้งเป้าหมาย ผมอายุยังไม่เยอะนะ แต่ก็พยายามพูดตามประสบการณ์แล้วกันว่า จริงๆแล้วเราตั้งเป้าผิดหรือถูก ถ้าเราตั้งเป้ายอดขายนะครับ ยอดขายควบคุมไม่ได้ เพราะว่ายอดขายส่วนหนึ่งมาจากสภาวะเศรษฐกิจใช่ไหมครับ สมมุติว่ายุค IMF เราไปขายของ มันคงไม่ได้ แต่ถ้าเราตั้งเป้าหมายชีวิตไม่ถูกตรงนั้นมันพอปรับได้ ทีนี้ถ้าเป้าหมายชีวิตมันไปผูกกับยอดขาย ซึ่งขึ้นลงตามแบบหุ้นมันก็คงเกิดความเครียด เราเอาความเครียดไปผูก ไปผูกยอดนั้นยอดนี้ เป็นระดับน้ำที่ขึ้นๆลงๆ เราก็ต้องแกว่งๆตามใช่ไหมครับ ทีนี้เป็นไปได้ไหมที่เราตั้งเป้าชีวิตให้ถูก อย่างเช่นเรามีความพอใจขนาดไหน ขนาดนี้เราพอใจแล้ว อย่างหมอไปคุยกับเพื่อนๆบอกรายได้เดือนเดือนหนึ่งตั้ง 3 แสนบาท เขาก็ตาโต มึงอยู่จังหวัดอะไรว่ะ ย้ายมาอยู่กรุงเทพดีไหม ผมว่าอยู่สกลนครสบายดีแล้ว อากาศก็ดี รถก็ไม่ติด แล้วก็มีโอกาสได้ทำบุญทำกุศล คือผมก็ตั้งเป้าชีวิตอยู่บนพื้นฐานแห่งความพอเพียง เราดูตัวอย่างพระ พระท่านยังฉันมื้อเดียว ทำไมเรากินตั้ง 3 มื้อ พระท่านไม่มีเมีย เรายังมีเมีย เรายังดีกว่าพระในบางเรื่อง ใช่ไหมครับ ถ้าเราตั้งเป้าหมายถูก เราก็จะลดความเครียดลงไปได้ ความเครียดเกิดจากภาวะ คือเราไม่ได้ในสิ่งที่เราคาดหวัง การแก้ปัญหาคือเราลดความหวังลงหรือเปลี่ยนเป้าหมาย หรือเราจะพยายามถีบตัวเอาให้บรรลุเป้าหมายตรงนั้นก็เลือกเองครับ 2 ทาง ถ้าเลือกทางที่ 2 ไม่รู้จะได้ไหมครับ ฉันจะเป็นนักขายให้เก่งขึ้นมีเทคนิคการขายที่ดี เป็นการพัฒนาตัวเอง หรือจะลดเป้าหมายลงอยู่อย่างธรรมดาก็ดีแล้ว ยอดขายไม่ได้ก็ช่างมัน ออกก็ช่างจะเป็นไรไป ย้ายก็ย้ายเรามีเป้าหมายในชีวิตกินอยู่อย่างสบายเราพอใจ อันนี้ฆราวาสตอบครับ แล้วก็ไม่เครียดซ้อมยิ้มทุกวัน อะไรจะเกิดขึ้นก็ยิ้มไว้ก่อนครับ ถ้ายิ้มไม่ออก สุดท้ายหายใจลึก ๆแล้วก็ยิ้มครับ แล้วจะยิ้มออกเองถูกไหมครับ เป็นมะเร็งก็ยิ้มได้ ลูกถูกรถชนตายก็ยิ้มครับ ลูกถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ยิ้มไว้ก่อนครับ ไม่ยิ้มแล้วจะทำอะไรครับ เครียดทำไม เครียดไปแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร เครียดแล้วก็เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นยอดขายตกก็ยิ้มไว้ ซ้อมยิ้มนานๆ พอจะตายก็ยิ้มได้ ฆราวาสตอบเสร็จแล้วครับ เดี๋ยวฆราวาสคนที่ 2 (หมายถึงคุณหมอพรเลิศ) จะขอตอบด้วย

นพ. พรเลิศ : เคยถูกดมยา เพื่อนที่เขาดมยาให้ เขาบอกว่าตอนดมยาหลับไปนี่ ทำไมดูเหมือนยิ้มอยู่ ก็แปลกดีจริงๆ แล้วหลายอย่างก็ได้ศึกษากับอาจารย์หลายๆท่านครับ จริงๆแล้วเราจะต้องใช้เหมือนกับวิธีคิดนะครับ อย่างเช่นถ้าเกิดว่าสมมุติวันนี้ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา จะมีใครที่จะต้องเดือดร้อนเพราะเรา ชีวิตของเราครอบครัวจะเป็นอะไรต่างๆ อย่างเช่น ถ้าจะสร้างหนี้ ก็คงจะต้องสร้างหนี้ในภาวะที่ถ้ามีเราจะทำได้อย่างไร ถ้าเกิดไม่มีเราจะอยู่ได้ไหม จะมีการจัดการอย่างไรบ้างนะครับ อย่างคุณพ่อผมเป็นกำพร้าตั้งแต่อายุ 7 ขวบ แต่คุณพ่อก็ยังอยู่ได้ สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างดี เพราะอะไรซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียวแล้วครับ มันเป็นเรื่องของการเป็นอยู่ในครอบครัว เรื่องที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของท่านเอง ซึ่งถ้าไม่มีคนส่งเสริมตลอดนั้น จริงๆ มันเป็นเรื่องของการปฏิบัติตัวเองนะครับ ที่เราทำดีกับตัวเอง ทำดีกับคนอื่นอยู่กันตลอดเป็นอย่างไร แล้วก็อีกอันหนึ่งเรื่องของความกลัวที่จะต้องสูญเสียจริงๆ มันเป็นหลักอย่างทางแพทย์ทางพยาบาล มันเป็นเรื่องที่เราเผชิญกับความสูญเสีย และพูดเรื่องความตายมันคือความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่จริงๆแล้วทุกวันเรามีความกลัว อย่างเช่นสูญเสียโอกาสหรือว่าของหายหรือว่าอะไรต่างๆ หรือการถูกเปลี่ยนแปลงที่ทำงาน การเกษียณต่างๆ ถ้าพูดถึงการซ้อม คนเราจะใช้กลไกตอบสนองกับสิ่งเหล่านี้คล้ายๆกันนะครับ เพียงแต่จะหนักหรือเบาเท่านั้นเอง ถ้าเกิดจะซ้อมต้องซ้อมจากอันที่เบาๆก่อนนะครับ ของที่หายก่อน แล้วต้องไปของแพงนะครับ รถยนต์ถูกขีดอะไรอย่างนี้ก็ค่อยๆขึ้นไป ถ้าเราทำตอนนี้ได้ ถ้าขึ้นระยะที่มากขึ้นก็พอเชื่อมั่นได้ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะยิ้มได้ครับ

หลวงตา : ที่ยอดขายยอดไม่ขาย คือการที่คุณหมอพูดมันก็ถูกในระดับหนึ่ง ถ้าให้ดีที่สุดขอให้ผู้ที่ถามว่า ยอดขายที่เข้าเป้าหมายหรือไม่ถูกเป้าหมาย ทำสมาธิซะก่อน สวดมนต์ไหว้พระให้ใจเย็นๆ สงบ สมาธิหาความจริงของชีวิตว่าคุณเกิดมาเพื่ออะไร เพื่อมาคลำเป้าหมายเหรอ มาเป็นขี้ข้าบริษัทเหรอ แล้วคุณก็ค่อยไปทีละข้อๆ นะเราไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงจิตใจคุณได้หรอก เพราะเราไม่รู้พื้นฐานคุณเลยว่าคุณเป็นอย่างไรมาอย่างไร เพราะว่าจิตใจเป็นของละเอียดอ่อน ไงแต่ว่าเป็นวิธีการว่า ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติหลุดพ้นค่อยๆดำเนินไป ตามวิถีพุทธ วิถีธรรม วิถีของผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แล้วคุณจะค่อยแก้ปัญหาของคุณได้ด้วยตัวของคุณเองนะ หลวงตาจะไปแก้แทนคุณไม่ได้ คุณก็จะบอกหลวงตาว่าหลวงตาไม่ใช่นักขาย คุณก็จะย้อนถามแต่ว่าคำถามที่เกิดจากตัวคุณเอง แล้วคุณจะเข้าใจความสมดุลของชีวิตแล้ววิญญาณของคุณอยู่ตรงไหน ตรงนั้นคือคำตอบของคุณนะ เข้าใจนะ

หลวงตา : ครับ มีผู้เขียนคำถามมาเยอะเลยครับหลวงตา ก็คงจะตอบอีกสัก 2-3 คำถาม ที่เหลือหลวงตาต้องตอบในเว็บไซต์นะครับ คำถามหนึ่ง ถ้าอยากไปศึกษาดูงานที่วัด หรือร่วมทำกิจกรรมจะต้องเตรียมตัวอย่างไรครับ มีที่นอนไหม ต้องเตรียมตัวอะไร ปัจจัยอะไรไปบ้างครับ

หลวงตา: คนเป็นมะเร็งไม่ต้องเตรียมเลย หมาหลวงตายังเลี้ยงได้เลย คนทำไมจะเลี้ยงไม่ได้

นพ.ศิริโรจน์ : แปลว่าไปตัวเปล่าได้ครับ แต่ต้องสวมเสื้อผ้านะครับ มีเรือนพัก มีข้าวกิน มีหินถู มีอู่นอนครับ ขออีก 2 คำถามแล้วกันนะ หลวงตามีการบริหารจัดการอย่างไร หลวงตารักษาผู้ป่วยเพียงผู้เดียวหรือไม่ มีหน่วยงานใดมาช่วยหรือเปล่าครับ

หลวงตา: ตอนนี้มีคุณหมอมาช่วยไง คุณหมอ พยาบาล อาสาแพทย์ อาสาเภสัชกร นักเทคนิคการแพทย์สาธารณะสุข ตอนนี้กระทรวงสาธารณะสุขกำลังเข้ามา ทางกองแพทย์ทางเลือกและพัฒนาแพทย์แผนไทย เริ่มเข้ามาเอาตรงนี้เป็นโมเดลของทุกๆศูนย์ในการใช้สมาธิบำบัด และไม่ต้องห่วงเรื่องการบริหารจัดการหรอก เพราะว่ามะเร็ง หลวงตายังบริหารจัดการมันได้ เรื่องอื่นมันเรื่องเล็ก

นพ.ศิริโรจน์ : ถามนายแพทย์พรเลิศ มีผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง แล้วญาติกับหมอช่วยปิดคนไข้ไว้ไม่ให้รู้ รู้แล้วเดี๋ยวจะทรุด เขาถามว่าหมอทำถูกหรือเปล่า หรือถ้าทำให้ดีกว่านี้ทำอย่างไร ให้คุณหมอพรเลิศตอบ

นพ.พรเลิศ : คือตรงนี้เราใช้อย่างประสบการณ์ที่เรากลัว เคยมีคนกระโดดตึกตาย หรือว่าอะไรต่างๆ เพราะว่ารู้ว่าเป็นมะเร็งแล้วชีวิตมันอยู่ไม่ได้ แต่ว่าเท่าที่พบส่วนใหญ่ทุกคนจะมีการตอบสนอง เวลาบอกว่าเป็นมะเร็งนะครับ ถ้าใครบอกเป็นมะเร็งแล้วเฉยๆ จริงๆแล้วไม่ปกติครับ แต่ว่ามันเหมือนเราทิ้งหินลงน้ำ มันต้องกระเพื่อม แต่มันกระเพื่อมจะแรงหรือเบามันอยู่ที่คน คนบางคนจะตอบสนองอย่างรุนแรง คนบางคนอาจจะโกรธ คงบางคนอาจจะเศร้า คนบางคนอาจปฏิเสธ แต่การกระเพื่อมมันจะค่อยๆเบาลงเรื่อยๆสู่ระยะการปรับตัวได้จริงๆ แล้วถ้าเราบอก ตอนอีกวันหนึ่งก่อนตาย มันคงกระเพื่อมอย่างเดียวครับ ไม่เคยนิ่งเลย ตายเลย อย่างนี้อันตรายมันไม่ดีครับ เราควรจะบอกตอนที่เขากำลังปรับตัวได้ ยังพอมีเวลา อย่างนี้ยังมีประโยชน์มาก เขาจะได้เข้าสู่กระบวนการพัฒนาจิต ซึ่งอันหนึ่งที่เราพบคือว่าพวกเราทุกคนในวัย กำลังเสื่อม กายเสื่อมทุกคน คนเรากำลังเสื่อมเสื่อมไวกว่าทุกคน สิ่งที่เราคุมได้คือว่า เราต้องพัฒนาจิตให้มาคุมกายแทน ตัวนี้มาช่วย ในบทบาทแพทย์ คนป่วยมา ปวดทำอะไรไม่ได้ เราช่วยเรื่องกายให้นิ่ง เพื่อให้เขามีโอกาสในการที่จะพัฒนาจิตใจมันให้เข้มแข็งขึ้น และในระยะสุดท้ายคนจำนวนหนึ่งเราจะเห็นว่าใครมีทุนดีจะจากไปอย่างสงบ ในทุกอย่างทุกศาสตร์ไม่ว่าเป็นการแพทย์ แพทย์ทางเลือกมันไม่ใช่เป็นเป้าหมายในตัวมันเอง ไม่ใช่ว่าใช้ยาอย่างนี้ ใช้สมุนไพร มันจะให้คำตอบที่ดีที่สุด เพราะว่าใช้ระดับหนึ่งปุ๊บ มันจะมีผู้ป่วยใหม่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงตาย มันจะมีตัวอย่างเกิดขึ้นเรื่อยๆ เราได้ใช้โอกาสนี้แล้วให้เขาพัฒนาตัวเองให้จิตคุมกายได้และจะเป็นคำตอบที่เขาจากไม่ได้

หลวงตา : ถูกต้อง คุณหมอพูดถูก ใช้จิตคุมกาย กายและจิตเป็นสิ่งพึ่งพาอาศัยกัน แต่คือหัวใจคือจิต จิตตัวนี้คือเป็นตัวปรับความสมดุลของกายได้ แต่ว่าต้องให้ใจเราสมดุลก่อน พอใจเราสมดุลคือไม่เครียด ไม่ทุกข์ และค่อยๆไปปรับความสมดุลของกาย มันจะสัมพันธ์กัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น