วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ

ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ

สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือ ชื่อ ' ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ ' เช่น

1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง

2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว

3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป! ็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี

5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง

6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ( ปลาโอ ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง

7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป

8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี ( ไม้เมืองหนาว ) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้

9. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้

10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้

11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี

12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย

13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง
โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้ ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้ พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นน! อกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญ ญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของ เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้า และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้ ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป .

14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี

15. มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว ! มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน

16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้

17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก

18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี ' โมโรอันแซตเทอเรต '

19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี

20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง! คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร

อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จ ะรู้ได้
มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมใน ลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้ อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู! ้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

2 . มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อ

3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร

12. มะเร็งทรวงอก
- ไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆ นำส่วนที่เหลือมารับประทาน ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัส สาว ะไม่ต้องตกใจ เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 ! คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ อาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย

15. มะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ด ทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ

ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล *** ตำรานี้ห้ามซื้อขาย หรือคิดเป็นเงินค่ารักษา และขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาด หากท่านผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธา และกุศลจิตของท่าน ท่าน และครอบครัวจะประสบแต่ความสุข

ที่มา
FW-mail

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตหนึ่ง...อาจมีโอกาสเลือกแค่ครั้งเดียว?

ชีวิตหนึ่ง...อาจมีโอกาสเลือกแค่ครั้งเดียว?

"คุณหมอครับ รปภ.แจ้งว่าให้คุณหมอรีบกลับบ้านด่วนเดี๋ยวนี้เลยครับ" เสียงที่ดังมาตามโทรศัพท์เป็นเสียงของประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลที่ดิฉันทำงานอยู่ ทำให้ดิฉันใจสั่น ตกใจจากการนึกไปทางเรื่องร้ายๆ

ทันทีที่เร่งรุดไปถึงบ้าน ดิฉันก็โล่งใจ เพราะใต้ต้นอินทนิลที่มีอายุหลายสิบปี มีรปภ.2คนยืนเฝ้าอยู่ บนค่าคบของต้นไม้สูงขนาดบ้าน1ชั้น ลูกชายดิฉัน2คน คนกลางกับคนเล็กยืนหน้าแหยอยู่ พวกเขาอายุ 7ขวบและ5ขวบ ทั้ง2ถือร่มขนาดเล็กที่กางแล้ว เตรียมร่อนสู่พื้น

"เดชะบุญ พวกผมมาตรวจตรา เห็นเข้าก่อน เลยห้ามไม่ให้กระโดด" รปภ.คนหนึ่งว่า

เอาบันไดพาดรับลูกทั้ง2ลงจากต้นไม้ ดิฉันถามเขาทั้ง2 พวกเขาบอกว่า...จะเหาะแบบการ์ตูนทอมแอนด์เจอรี่ เรื่องนี้เป็นตัวอย่างทำให้ดิฉันสอนพวกเขาอีกหลายครั้ง จนพวกเขาจำได้ขึ้นใจกระทั่งตอนโตว่า...ชีวิตนี้ไม่ใช่การ์ตูน ไม่มีตายแล้วฟื้น การตัดสินใจชั่ววูบอาจคือการตัดสินใจครั้งเดียวของชีวิต เพราะชีวิตหนึ่ง บางที...อาจมีโอกาสเลือกแค่ครั้งเดียว

นั่นเป็นเหตุการณ์กว่าสิบปีมาแล้ว แต่นี่คือเหตุการณ์วันนี้...

คุณป้าสมจิต(นามสมมุติ)... มาพบดิฉันที่ห้องตรวจแผนกสูติ-นรีเวชกรรม
เมื่ออ่านประวัติจากแผ่นประวัติผู้ป่วยนอก พบว่าคุณป้าอายุ55ปี มีลูก3คน
"คุณป้าสมจิตเป็นอะไรมาหรือคะ" ดิฉันถาม อันที่จริงอายุอานามของคุณป้าไม่มาก แต่เพราะคุณป้าเรียกตนเองว่าป้า ดิฉันจึงเรียกตาม

"เรื่องมันยาว เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง" คุณป้าบอก ยิ้มกว้าง ดิฉันสังเกตเห็นริมฝีปากและลิ้นสีซีด ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มออกเหลืองๆ มองเช่นนี้เดารู้ว่าคุณป้ามีโรคโลหิตจาง ซึ่งอาจจะเกิดจากโรคเรื้อรังอะไรสักอย่าง
...คุณป้าเท้าความไปยาว ตั้งแต่ 10ปีก่อน ปวดท้อง เป็นโรคกระเพาะอาหาร 9ปีก่อนเป็นโรคปวดหัว 8ปีก่อนเป็นโรคปวดขาเข่า...7ปีก่อนปวดหัว พอคุณป้าเล่า6 ปีก่อนเป็นโรค...ดิฉันขัดขึ้นว่า“ตอนนี้คุณป้ามีอาการอย่างไรจึงมาหาหมอคะ”
"ป้าปวดท้องน้อยมาก"
"ปวดท้องอย่างเดียวหรือคะ มีตกเลือด ตกขาวหรือเปล่า"
"เป็นประจำเดือนมาได้ 7 วัน"
"อายุ 55 ยังไม่หมดประจำเดือนหรือคะคุณป้า" ดิฉันถาม...คุณผู้หญิงทั่วไปมักหมด
ประจำเดือนเมื่ออายุ 49-51ปี
"หมดไปปีกว่าแล้ว นี่มาอีก"
"หมดประจำเดือนไปปีกว่าแล้ว แล้วมาอีก อย่างนี้ไม่เรียกประจำเดือนนะคะ เรียกเลือดผิดปกติ คงต้องตรวจภายในดู"
"ไม่ตรวจหรอกตอนนี้กำลังเป็นประจำเดือน" คุณป้าตอบเสียงแข็ง
"อย่างนี้ไม่น่าจะใช่ประจำเดือนนะคะ อย่างไรคงต้องตรวจภายในดูว่าเป็นอะไร"
"ไม่ตรวจ" คุณป้ายืนยัน
ดิฉันมองคุณป้าสมจิตอย่างชั่งใจ ถามว่า "วันนี้คุณป้ามาโรงพยาบาลกับใครคะ"
"ลูกสาว ลูกเขย ลูกสะใภ้ และลูกชาย"
ดิฉันกดกริ่งขอให้ผู้ช่วยฯ ตามญาติคุณป้าเข้ามาในห้อง
"ไม่ต้อง ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของฉันหมด ไม่ต้องเรียกใครเข้ามา" คุณป้าบอกเสียงดัง
ดิฉันขมวดคิ้ว "ทำไมล่ะคุณป้า เจ็บป่วยเป็นอะไรก็ต้องให้ลูกๆรู้ จะได้เข้าใจเหมือนๆกัน"
"ฉันบอกก็ได้ ปีที่แล้วฉันไปโรงพยาบาล...หมอบอกว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะ2 แต่ฉันไม่รักษา เลือดก็ไม่เคยออกมาเลยปีกว่า วันนี้มีเลือดออกปวดท้องมากฉันจึงมาขอยากิน"
"เชิญญาติๆมาคุยดีกว่านะคะ" ดิฉันบอกผู้ช่วยฯให้เชิญญาติ
พอลูกสาว ลูกเขย ลูกชาย ลูกสะใภ้ โผล่หน้าเข้าห้อง คุณป้าบอกว่า "คนอื่นๆไม่ต้องเข้ามา ให้ดาเข้ามาคนเดียว" ดา (ชื่อสมมุติ) อายุ 30ปี เป็นลูกสาวคุณป้า
"คุณดารู้ไหมคะ ว่าคุณแม่ป่วยเป็นอะไร" ดิฉันถาม...ลูกสาวพยักหน้า
"หมอจะขอตรวจคุณแม่ดู ว่ามะเร็งที่เคยเป็น ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว"
"แม่ให้หมอตรวจสิ จะได้ดูว่า หายหรือยัง" ลูกสาวว่า คนเป็นแม่จึงยอมตรวจ ดิฉันผลักประตูกลับเข้ามาในห้อง เชิญคุณป้าสมจิตและลูกสาวนั่งฟังผลการตรวจ
มองคนทั้ง2 เพื่อเลือกคำพูดที่จะพูด...เพราะขณะคนทั้ง2เชื่อว่า ยาหม้อรักษามะเร็งได้...แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของดิฉัน เมื่อไหร่ที่วินิจฉัย(จากผลพยาธิวิทยา)ว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก เมื่อนั้น...การรักษาด้วยยาหม้ออย่างเดียว...ดิฉันยังไม่เจอคนไข้หายจากโรค
คุณป้าสมจิตก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่ตรวจ ดิฉันก็รู้ว่ามะเร็งได้ลุกลามออกจากปากมดลูก ไปทั่วอุ้งเชิงกราน กินกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ ช่องคลอดส่วนล่าง กระทั่งลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองที่คอ
อาการของคุณป้าคือมะเร็งระยะสุดท้าย…เป็นขนาดนี้นับว่าคุณป้าสมจิตอดทนมาก สามารถพูดคุยได้ปกติ ทั้งที่มาหาเพราะปวดจนทนไม่ไหว

"คุณดา รู้ว่าคุณแม่เป็นมะเร็งตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำไมไม่พาไปรักษาละคะ" ดิฉันถาม
"ไม่ต้องไปโทษลูกเลย เขาบังคับให้ฉันไปรักษาแต่ฉันไม่ไป" คุณป้าสมจิตยังพูดยิ้มๆ
"แต่ตอนนี้ แม่เขายอมไปแล้วหมอ ค่าใช้จ่ายอะไรก็เบิกได้ เพราะหนูและพี่ชายเป็นข้าราชการ"
ดิฉันเชิญคุณป้าสมจิตรอข้างนอกห้อง ขอพูดคุยกับลูกสาวเพียงลำพัง รู้สึกเครียดเมื่อบอกตรงๆว่า "คุณดา หมอเสียใจที่จะบอกว่า คุณแม่ของคุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว"
"ทำไมแม่ไม่เห็นเป็นอะไร เลือดก็ไม่ออก เพิ่งมาออกวันนี้" คุณดาสงสัย
"มะเร็งที่คุณแม่ของคุณเป็น เป็นชนิดกินลึก เมื่อมีเนื้อให้กินก็กินเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อหมดเนื้อกิน เหลือแต่เนื้อตาย จึงมีเลือดตกออกมา คนหลายคนเข้าใจว่า เมื่อไม่มีเลือดออก คือมะเร็งหายแล้ว แต่ที่แท้มะเร็งกำลังกินลึกไปเรื่อยๆ"
"ก็แม่ไม่ยอมไปรักษา ปีที่แล้วหมอบอกว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะ2 ต้องรักษาโดยการฉายแสง แม่ว่า คนแถวบ้านฉายแสงแล้วตายทุกราย เป็นตายไม่ยอมรักษา ตอนนี้แม่ปวดมาก ทนไม่ไหว ยอมรักษาแล้ว ที่นี่รักษาได้ไหม" คุณดาถาม
ดิฉันยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่บอกว่า“หมอมี2เรื่อง ที่จะอธิบายให้คุณดาฟัง
เรื่องที่หนึ่ง การฉายแสงที่เล่าลือกันว่าฉายแล้วตาย ก็คือการฉายแสงรักษาคนไข้มะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้ายซึ่งมีอาการตกเลือด เจ็บปวดทรมาน แม้การฉายแสงนั้นโอกาสหายน้อยมากแต่สามารถลดการ
ตกเลือดลดความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของคนไข้ได้ แต่หากฉายแสงรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกระยะ1,2 ซึ่งเป็นระยะที่รักษาหาย โอกาสหายก็มีสูง
ปีที่แล้ว คุณป้าสมจิต เป็นมะเร็งปากมดลูกแค่ระยะที่ 2 โอกาสฉายแสงแล้วหายมีสูงมาก คนไข้หลายคนที่หมอส่งไปรักษา เป็นโรคมะเร็งปากมดลูกระยะ2 ฉายแสงแล้วหายขาด ตอนนี้อยู่กันมาเป็นสิบๆปี
เรื่องที่ 2 ที่หมออยากบอก...ด้วยความเสียดาย...ไม่ได้ตำหนิ...คือมนุษย์เรานั้น ชีวิตหนึ่งอาจมีโอกาสเลือกเพียงครั้งเดียว ปีที่แล้วคุณแม่คุณดาเลือกปิดประตูการรักษา เมื่อเลือกไปแล้วตอนนี้ขอย้อนกลับมาเปิดประตูการรักษา แม้ทำได้ แต่โอกาสหายขาดนั้นเหลือไม่มากแล้ว”

คุณป้าสมจิตกับลูกๆกลับไปพร้อมใบส่งตัวที่ดิฉันเขียนให้ไปรักษาตัวต่อที่สถาบันมะเร็งฯ เมื่อเปิดประตูออกห้องตรวจและปิดประตู ดิฉันรำลึกว่า ในชีวิตหนึ่งของมนุษย์เรา อาจมีโอกาสเลือกอะไรได้เพียงครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัก เรื่องเรียน เรื่องทำงาน หรือเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ เพราะหลายๆครั้งโชคชะตาไม่ให้โอกาสเราหวนกลับมาเลือกอีก

สิ่งที่ดิฉันไม่ได้บอกให้คุณป้าสมจิตและลูกๆไม่สบายใจไปมากกว่านี้ คือเพราะปิดประตูไม่ยอมรักษาในปีที่แล้ว โอกาสรอดชีวิตในตอนนี้นาน5ปี มีเพียงร้อยละ8

พูดอีกอย่างก็คือ แม้รักษาเต็มที่ คนไข้มะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย ร้อยคน มีโอกาสรอดชีวิตดูโลกให้ครบ5ปี มีเพียง 8คน

และคุณป้าสมจิตจะไม่ต้องตกที่นั่งลำบากอย่างนี้ หากย้อนเวลาขึ้นไปอีกสักสิบปี คุณป้าเปิดประตูเลือกการตรวจภายใน เพื่อเช็คมะเร็งปากมดลูกทุกปี ก่อนมีอาการผิดปกติ...เพราะโรคมะเร็งปากดลูกระยะแรกรักษาหายขาดได้

ที่มา
http://www.womenprotectwomen.com/

อยากเขียนอยาก เก็บเอาไว้ ครั้งหนึ่ง ของชีวิต ..ใกล้ชิดความตาย

ราว ปี 44 มีปัญหา เกี่ยวกับสุขภาพ ร่างกาย มาตลอด 1 ปีเต็ม....

มีปัญหาที่พบ กลาง ปี 43 ที่ตะแรก คิดว่า เป็นเรื่องของไข่ ไม่ตก ในวัย เริ่มต้นของ วัยทอง .......ที่มักจะ มีปัญหา เกี่ยวกับ เรือ่งไข่ตกไม่ตก เม็นส์ หายเม็นส์มาไม่มา ...ซึ่ง ในเวลานนั้น เข้าใจว่า นาจะเป็น prememopouse ละมั้ง ตัวเรา .....

เพราะมีปัญหา เรื่อง.......มีเลือดออก ประปริดปรอยมาตลอด ต้อง พึ่งบริการ แบบ มี ปีกและไม่มีปีก ตลอดปี แบบว่าบน มัน ตลอดว่างั้น

วันไหน นึกจะมีตกเลือดก้ตก มาเฉย ๆๆ มากน้อยไม่แน่นอนลักษณะ การมีเลือดออก แบบนี้ จะเป็น มาหลายเดือนมาก ทีแรก ไม่ตกใจ และ ไม่ คิดว่าจะเกิด อะไรกับตัวเรา........จน วันหนึ่ง....ได้คุยกับผู้ป่วย ท่านหนึ่ง มาปรึกษาด้วย อาการ ตางๆที่เธอเป็น เป็นเหมือนที่เป็นเลย และเธอบอก ทุกครั้งที่ เธอมีเพศสัมพันธ์ กับสามี จะมีอาการตกเลือด ทุกครั้ง.......

สุดท้ายเธอเป็นมะเร็งปากมดลูก ระยะ สุดท้าย......แต่เธอได้รีบการรักษา ด้วยเคมีบำบัด ....นาน 3 ปี และ ดีขึ้น

เราฟังแระ หน๋าววววววววว เพราะ เวลานนั้น ยัง มี สามีอยู่ เป็นครอบครัว ปกติ แต่ มีปัญหา เหมือนคนไข้ท่านนี้ เลย......

เรื่องราวของ ฉัน เริ่มจาก ตกเลือด เหมือนคนแท้งลูก ประมาณนั้น และ ออก ปริดปรอยมาตลอด นานพอควร .....และ มี เพศสัมพันธ์ กับสามีก็จะพบปัญหาตกเลือด ทุกครั้ง แถม มีการ ปวด ท้องน้อยด้วยอีกตะหาก ............ทน ความไม่ Happy กับการที่ต้อง มีปีก ทุกวัน เหมือนกัน จึ่งไป ตรวจภายใน กับแพทย์นรีเวช ท่านหนึ่งที่สนิท กันมาก

3 เดือนแรก ที่ตรวจพบเป็นแผล บริเวณ ปากมด ลุก และ ลักษณะคล้ายสะเก็ด หาก มีเพศสัมพันธ์ ก็อาจเกิด การกระทบกระเทือน ทำ ให้ สเก็ด หลุด และเลือดออกได้ .......รักษาด้วยการจี้ ด้วย...ยา

.....แต่ .....

อนิจจา 3 เดือนผ่านไป อาการไม่ดีขึ้น ซ้ำร้าย ตกเลือด เป็นก้อน ลิ่มเลือด เท่าลุก กอล์ฟ เป็นระยะ อีกตะหาก

ร้างกายเริ่มอ่อนเพียล เริ่ม มีอาการ เสียเลือด และ อยู่ ในภาวะ ซ๊ด ....เพระมีระดับ เกล็ดเลือด และความเข้มข้นเลือด ต่ำ ถึงจุด วิกฤต

ฉัน.......ไม่ยอมรับการ ใช้เลือด จาก ผู้ ใด และ ขอ รับประมทานอาหาร เพิ่ม ธาตุเหล็ก อและ วิตามิน ไป เรื่อย ๆๆและ ทำการ ขูดมดลุกเพื่อ แก้ไขปัญหา เรื่อง เลือดออก เป็นระยะ ก้ไม่ดีขึ้น .......
ผลการขูดมดลูกครั้งแรก ๆ ผล ออกมาเป็นเรือ่งที่ขำ และ แปลกใจ....มันเป็นภาวะ แท้งคุกคาม ......
ออกจะตกใจนะ เพราะ ไม่ ใช่แน่ ....เพระมีเม้นส์ ทุกเดือน แต่ ผลออกมาคือ ท้อง และ แท้ง และ เด้กไม่ออก เค้าฝังตัว ในผนังมดลุก และไม่เจริญเติบโต .....โอ เหมือนลูกกรอก ไง งั้น นะ ......
เมื่อ ขูด มดลุก ออกไป แล้ว คิดว่าปัญหาน่าจะจบ ......เวลา ผ่านไปอีก 4 เดือน ภาวะตกเลือด ครั้ง ใหญ่เกิดขึ้น .....ในเช้าวันหนึ่ง

ฉันมีอาการหน้ามืด ในห้องน้ำ และ พยายามประคองตัว ให้ไ ด้ อาบน้ำ ชำระ รางกายเสร็จแล้วค่อยๆๆ แต่งตัว แล้วไป หา หมอ ด้วยความรู้สึก หมด แรง ........

คืนวัน ที่ที่ฉันนอนไ ม่ ใช่บ้าน มันคือ ห้อง พักฟื้น ที่โรงพยาบาล หลังขูดมดลูก
...........หลังจาก นั้นไม่นาน .............

ฉันกลับไป หาหมอ ตามนัดเพื่อ ฟังผล ชิ้นเนื้อ ....หมอ มีเรื่องจะบอก ...ผล ชิ้นเนื้อ ที่เราขูดมดลุกไป ครั้งนี้ และ ผลเนื่อ ที่หมอ ขลิบ บริเวณปากมดลุกไป ด้วย ในวันนั้น

ผลมันคือ ...มะเร็งปากมดลุกระยะ 1A นะ .....หมอบอกว่า มี วิธีการรักษา ให้คุณเลือ ก 2 ทาง
1. ผ่าตัด ยก มดลูกและรังไข่ออก แต่หมอ ไม่อยาก ผ่า เพระคุณอายุน้อยมาก แต่ ทั้งนี้ ทั้งนั้นหมอ ก้ไม่รับประกัน 100 นะ ว่าจะ ตัดแล้วจะหาย จะไม่กลับมาเป็นใหม่

หมอยึด หลัก ถ้า มะเร็งไม่กระจาย ก็ หาย แต่ ถ้าตัด ไม่หมด ล่ะ ปลายแหลม ขนมเค้ก หล่ะ ฌอกาส ที่ มะเร็งลุกลาม ก็สูงเทียว...

หรือ ............

วิธีที่ 2 ให้ยาเคมีบำบัด คุณจะ สามารถมีบุตรได้และ ยาที่จะให้ เป็นที่รับรอง ว่าไม่มีอาการแพ้
ฉัน.........ฉัน.........ไม่รู้ว่าเอาแรงจากไหนเดิน ออกจากโต๊ะหมอ ....เดินจาก ตึกที่ตรวจ มาจนถึง ห้องทำงาน ทรุดนั่งลง และร้องให้..เงียบๆๆเพียงคนเดียวมะเร็ง !!!!

มันมาจากไหนอึ้งนะ เพระเคยแต่ปลอบคนอื่นเค้า ว่าไม่ป็นไร มันมีทางรักษา และ เด๋วก้หาย อะไรต่อมีอะไร สาระพัด ที่จะปลอบไปได้

แต่.......วินาทีนี้ .......ฉันจะทำ อย่างไรดีหล่ะ.....ไม่มีใคร ?

นิ่งเงียบ จนเย็น.....กลับบ้านเห็นหน้าลุก ต้อง ฝืนยิ้ม และรื่นเริง กอด ลุกน้ำตา ตกในใจ
ฉันจะทำ ไง ไม่อยากบอก ให้ ใครรู้ ไม่เจ็บเป็น แม่ และลุกไม่ควรจะรู้

คืนนั้น นอนหลับไหม ไม่หรอก นอนกอด น้ำตาซึม ทั้งคืน ...เช้ารุ่งขึ้น ตัดสินใจพบหมด เพื่อขอคิว ผ่าตัด หมอ ดันตอบอีก ให้สามีเซ็นต์ ให้เรียบร้อยก่อน นะคะ ฉันตอบหมอว่าชีวิตนี้เป็นของฉัน เซ็นต์เอง เดี่ยว สลักหลังไว้ ว่า หากเกิด ปัญหา ข้าพเจ้าเสียชีวิตระหว่าการรับการผ่าตัด หรือ อยู่ ในห้อง พักฟื้น จะไม่มีการกล่าวโทษแก่ผู้ใด ข้าพเจ้ายอมรับการรักษานี้แต่เพียงผู้เดียว.....จำได้ว่า ได้คิว ผ่านตัด เดือน เมษา 45 ......
แต่...11 กุมภา ฉัน ไป ทำงานตามปกติ......

แล้ว .....อยู่ ๆๆ ก็ตกเลือด และ หมดสติ ไป จึ่ง ได้รับการรักษา อย่าง รีบด่วน.......
ไม่รู้หรอก ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง............หลังผ่าตัด ฉันถึงกับต้อง ค้างคืน ที่ อยู่ ไอซียู ถึง 5 คืน ทีเดียว เนื่องจาก ความดันโลติด ทะลึ่งพรวด ถึง 220 สาระพัด ท่อ สายดินสายอากาส ....
อยู่ ใน สภาวะ ช๊อก จกา เลือด น้อย และ ความดันโลหิจสูงมาก.

แรก สุด เมื่อ รู้สึกตัว ปากคาบไปท์ ( ท่อช่วยหายใจ ) มืมี แต่ สายน้ำเกลือ ระโยงระยาง เต็มไป หมด ..... ยอมรับว่าหมดแรง หมด กำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ......หันซ้าย ไม่ต่างกันกับฉัน หันขวา ก็เฉก เช่นเดียวกัน

ฉันยอมแพ้เจ้ามะเร็ง มันแล้ว ไม่ไหว ยอม จ้ายอม แพ้ ....จะตายก็ตายเถิด ......ไม่ไหว ไม่อยาก สู้อีกแล้วเหนื่อย

ลืมตาไม่ขึ้น หนักเนื้อตัว ไป หมด จำได้ยินเสียงแว่ว ๆ ของเจ้าตัวเล็ก เรียก มามี๊จ๋า ....กลับบ้าน เรานะ มามี๊ นะ ......น้องจ๊ะจ๋า มารับ.....แย๊ว...ลองนึก นะเสียงเด้ก อายุ6- 7ขวบพูดนะ ....

เสียง เจ้าขาหมู ร้อ ให้ สะอื้น ข้างเตียง ถาม ว่า มามี๊จ๋าเจ็บไหม ได้ยินเสียง อ้วนไหม มามี๊ลืมตาสิ ลูกอ้วนมาหา ไง ......รู้ไหม ใจที่แผ่ว ๆๆ และ แป้วนั้น มัน ฮึกเหิม มา ด้วย กำลังใจ จากลุกๆๆ .....
จาก ที่อยู่ไอซ๊ ยู หลายวัน ก็ได้รับการย้ายออกมาพัก ที่ พิเศษ.....ดีใจไหม เห็นหน้าลูก หน้าแม่ และ เพื่อนร่วมงาน อีกครั้งหนึ่ง........

สภาวะรอดตายจาก หนนั้น มันทำ ให้ ฉันตอบตัวเองว่า ...ต่อไปนี้ สิ่งไหน ไม่เคยทำ และสิ่งไหนเป็นความสุขของชีวิต ฉันและลูกๆๆ ฉันจะทำ........

ใคร ไม่เข้าใจ สภาวะนนั้น ฉันเข้าใจ เพระ เมื่อ่ประสบกับตัวเอง แล้ว ให้รู้สึก ว่า ครั้งหนึ่ง ฉัน ผ่านวิกฤต นั้นมาแล้ว

ต้องสู้ต่อไป .............

จากวันนั้น ถึง วันนี้ 5 ปีแล่ว แต่มันอยู่ ในความทรงจำเสมอ หล่ะ

ดาหลา

ที่มา
http://www.womenprotectwomen.com/

เมื่อแม่เป็นมะเร็งปากมดลูก ระยะ ที่ 2

ปี 2552 แม่เป็นมะเร็งปากมดลูก ระยะ ที่ 2

อาการเริ่มต้นคือ มีตกขาวมากพอสมควร เลยให้เราพาไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าจะตรวจภายใน โดยนำชิ้นเนื้อไปตรวจ แม่ก็ยอม

1 เดือนผ่านไป ผลตรวจออกมา แม่เป็นมะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 1 -2

หมอแนะนำให้รักษา แม่เลือกที่จะรักษที่ศูนย์มะเร็งที่กรุงเทพ เราให้กำลังกับ รักษานะแม่ ยังไงแม่ก็ต้องหาย ....แม่ยิ้ม...แม่ต้องหายอยู่แล้วลูก...

ครึ่งเดือนผ่านไป....

เพื่อนแม่แนะนำแม่มาว่ามีหมอกดจุดที่กรุงเทพรักษาโรคมะเร็งได้ แม่จะรักษาที่นี่ละกัน ลูกจะได้ไม่ต้องเปลืองเงินเยอะ (เรามีกัน 2 คน แม่ลูกคะ เป็นครูอัตราจ้างธรรมดาๆ เลยไม่ค่อยมีกะตังค์)

เราเชื่อแม่.....

3 เดือนต่อมา แม่บอกว่า ไก่ แม่หายจากโรคมะเร็งแล้วนะ .....เป็นไปได้ไง ยาก็ไม่มีกิน แค่ไปกดจุดชีพจร แค่วันละไม่เกินครึ่งชั่วโมง หายได้ไง ไม่น่าเชื่อ.....แต่เพราะเราเชื่อแม่.......

แม่ยังมีประจำเดือนออกมาเรื่อยๆ แม่ก็บอกแค่ว่า หมอบอกแม่มาว่าหมอกดเอาเลือดเสียที่คั่งค้างข้างในออก ไม่เป็นไร

เดือน พ.ย 52 แม่มีตกขาวหนักขึ้น มีกลิ่น มีเลือด
เพื่อนแม่ให้กินว่านชักมดลูก ขับตกขาว ซื้อให้แม่กินนะ เดี๋ยวก็หาย
เราเชื่อแม่.....ซื้อให้แม่กิน แม่ดีขึ้น ตกขาวน้อยลง แต่มีเลือดออกมากขึ้น
ไปหาหมอมั้ยแม่ ....แม่บอกไม่เป็นไร ...เดี๋ยวก็หาย ..เราเชื่อแม่..
20 พ.ย 52
เราไม่อยู่บ้าน ไปราชการต่างจังหวัด กลางดึกน้าสาวโทรเข้ามา แม่อยู๋โรงพยาบาล ตกเลือดมาก อาการยังไม่ดี เพราะแม่หอบด้วย เลือดยังไม่หยุดไหลเลย................
เรากลับมาหาแม่ในเช้าตรู่วันถัดมา เห็นครั้งแรกก็น้ำตาร่วงเลย แม่หน้าซีด ตัวซีด มีสายน้ำเกลือ มีถุงเลือด เพราะเกร็ดเลือดต่ำต้องให้เลือด มีสายปัสสาวะ เพราะแม่ต้องเอาผ้าก๊อซอุดช่องคลอดไว้เพื่อเป็นการห้ามเลือด........เราได้แต่จับมือแม่ บอกแม่ว่า แม่ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวแม่ก็หาย...
แม่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 5 วัน หมอให้กลับบ้าน หมอก็แนะนำเช่นเดิมให้ไปรักษา แม่สัญญากับหมอ ว่าจะรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน
ผลการเอ็กเรย์คอมพิวเตอร์ออกมา.........แม่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นคะ
แม่เป็นมะเร็ง ระยะที่ 3 แล้ว เพราะเนื้อแผลกว้าง 7 เซนติเมตร แต่เซลล์มะเร็งยังไม่กระจายตัว ....ก็ยังดี....
เราคุยกับแม่ แม่ต้องรักษาแล้วนะ ไก่ไม่ยอมเชื่อแม่แล้วนะกับวิธีการรักษาตามแบบของแม่ กับเพื่อนแม่ที่แนะนำมาแต่ละอย่าง.....
แม่ตอบเราว่า.......จ๊ะ...แม่เชื่อไก่....
เดือนธันวาคม 52
พาแม่ไปศูนย์มะเร็งชลบุรี ครั้งแรกที่ไปโดนหมอดุชดใหญ่ ว่าทำไมถึงปล่อยให้ลุกลามไปขนาดนี้ แม่ก็ได้แต่ขอโทษหมอ และยอมที่จะทำทุกอย่างตามที่หมอสั่ง
.....ไก่..แม่เลืดออกอีกแล้ว... พาแม่ไปโรงพยาบาลหน่อย ....
เป็นแบบนี้ถึง 4 ครั้ง จากเดือน ธ.ค - ม.ค 53
เราได้แต่คุยล้อกับแม่ว่า แม่ยังไม่ชินอีกเหรอ กับอาการของคุณมะเร็งเนี่ยยยยยยยย แม่ได้แต่หัวเรา หึ หึ
หมอที่ศูนย์นัดให้แม่เข้ารักษาตัวที่ศูนย์ วันที่19 ก.พ ที่ผ่านมา......
วิธีการรักษาคือ การฉายรังสี.......
ขอขอบคุณทุกๆข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ที่เราหามาให้แม่อ่านในเรื่องของการเตรียมตัว ความเป็นอยู่ อาหารสำหรับผู้ป่วย ทุกสิ่งอย่างทำให้แม่ได้เข้าใจและยอมรับกับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
ที่ศูนย์ไม่ให้ญาติเฝ้า แต่สถานที่และหมอ พยาบาลก็ดี แทบทุกคน หรือเพราะเป็นโรคเฉพาะด้วยมั้งคะ รูปแบบอาการป่วยเหมือนๆกันทำให้ดูแลง่าย
แม่จะทำการฉายรังสีทุกวัน จันทร์ - ศุกร์ แม่จะได้รับแสงบริเวณอุ้งเชิงกราน ห้ามโดนน้ำเด็ดขาด ครั้งแรกๆ วันละ 5 นาที
อาทิตย์แรก แม่ก็ชิลๆ แม่บอกว่า แม่ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ก็หาย..เราเชื่อแม่...
อาทิตย์ที่ 2 การฉายรังสีเริ่มแรงขึ้น แม่มีอาการแพ้ มีไข้ มีเลือดออก สงสารแม่จัง .....
อาทิตย์ที่ 3 แม่ดีขึ้น ขอบคุณที่แม่เข้มแข็ง ขอบคุณคุณหมอ พยาบาล ที่ดูแลแม่.........ขอบคุณค่ะ
แล้วเพื่อนๆหล่ะคะ วันนี้คุณดูแลแม่หรือยัง............
เพื่อนสาวที่อายุ 35 Up ไปตรวจภายในได้แล้วนะคะ....ก่อนที่จะเป็นแบบแม่ของไก่.......เอาใจช่วยทุกคนคะ ขอให้สุขภาพแข็งแรง...

ที่มา
http://www.womenprotectwomen.com/

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เหตุไทยตายสูงสุด 'มะเร็ง'แชมป์ สังเวยปีละ5.5หมื่นคน

เหตุไทยตายสูงสุด 'มะเร็ง'แชมป์ สังเวยปีละ5.5หมื่นคน

สธ. เผยโรคมะเร็งเป็นภัยร้ายตัวฉกาจ ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากเป็นอันดับ 1 ปีละกว่า 55,000 ราย เป็นชายมากกกว่าหญิง 2 เท่าตัว กว่าครึ่งเป็นผู้สูงอายุ แนะกินกะหล่ำปลี-ออกกำลังกาย เผยสูตร “เพิ่ม 5 ลด 7”...

9 พ.ค. นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า โรคที่เป็นภัยสุขภาพของคนไทยที่ร้ายแรงที่สุดในขณะนี้ คือโรคมะเร็ง โดยจากการวิเคราะห์สถิติการเสียชีวิตของคนไทยย้อนหลังตั้งแต่พ.ศ.2543 ซึ่งมีปีละประมาณ 3 แสนคน พบว่ามะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นเวลา 9 ปี ล่าสุดในพ.ศ.2551 มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 55,403 คน เป็นชาย 32,060 คน หญิง 23,343 คน โดยร้อยละ 53 ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป รองลงมาคือวัยแรงงาน อายุ 15-59 ปี ร้อยละ 46 เฉลี่ยแล้วในแต่ละวันจะมีคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 152 คน หรือชั่วโมงละ 6 คน

เมื่อแยกตามอวัยวะที่เกิดมะเร็ง อันดับ 1 มะเร็งตับ 14,084 คน เป็นชาย 9,951 คน หญิง 4,133 คน อันดับ 2 มะเร็งหลอดลม-ปอด 8,565 คน ชาย 5,801 คน หญิง 2,764 คน ทั้งมะเร็งตับและมะเร็งปอด ผู้เสียชีวิตเป็นชายมากกว่าหญิง 2 เท่าตัว อันดับ 3 มะเร็งเต้านม 2,347 คน อันดับ 4 มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก 1,839 คน

ขณะที่องค์การอนามัยโลกรายงานในปี 2548 ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเกือบ 8 ล้านคน

ด้านนพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า สาเหตุการเกิดมะเร็ง ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่นอน ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงเป็นมะเร็ง มีข้อแนะนำ 12 ประการ โดย 5 ประการเป็นการป้องกัน ได้แก่ 1.ให้รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก เช่นกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ 2.รับประทานอาหารที่มีกากใยมาก เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวโพด เมล็ดธัญพืช 3.รับประทานอาหารที่มีสารเบต้า-แคโรทีน และวิตามินเอสูง เช่น ผักสด ผลไม้ที่มีสีเขียวเหลือง เช่น มะละกอ ส้ม 4.รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่นผลไม้ต่างๆ และ 5.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมน้ำหนักตัว ไม่ให้อ้วน ควรกินผักผลไม้ให้ได้วันละ 400 กรัม

ส่วนอีก 7 วิธีลดความเสี่ยงเป็นมะเร็ง ได้แก่ 1.ไม่รับประทานอาหารที่มีราขึ้น 2.ลดอาหารไขมัน 3.ลดอาหารดองเค็ม อาหารปิ้ง-ย่าง รมควัน 4.ไม่กินอาหารสุกๆ ดิบๆ เช่น ก้อยปลา ปลาจ่อม เพราะจะทำให้เกิดโรคพยาธิใบไม้ตับ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ 5.หยุดหรือลดสูบบุหรี่ 6.ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ 7.อย่าตากแดดจัด ซึ่งจะเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง

ทั้งนี้ การก่อตัวของโรคมะเร็ง จะค่อยเป็นค่อยไป ไม่รู้ตัว จึงแนะนำผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพค้นหาความผิดปกติอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากตรวจพบเร็ว โอกาสรักษาหายจะมีสูง

โดยสัญญาณผิดปกติที่สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งมี 7 ประการ ได้แก่ 1.มีเลือดออก หรือมีสิ่งขับออกจากร่างกายผิดปกติ เช่นตกขาวมากเกินไป 2.มีก้อนเนื้อหรือตุ่มเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งของร่างกายและก้อนนั้นโตเร็ว 3.มีแผลเรื้อรังรักษาหายยาก 4.ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะผิดปกติ หรือเปลี่ยนไปจากเดิม 5.เสียงแหบหรือเรื้อรัง 6.กลืนอาหารลำบาก หรือทานอาหารแล้วไม่ย่อย และ 7.มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝ หากมีอาการเหล่านี้ขอไปให้พบแพทย์โดยเร็ว

ที่มา
ไทยรัฐออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สุดยอดสมุนไพร"ข้าวก่ำแก้โรคหัวใจ-ยับยั้งมะเร็ง

สุดยอดสมุนไพร"ข้าวก่ำแก้โรคหัวใจ-ยับยั้งมะเร็ง


สุดยอดสมุนไพรจากข้าวก่ำแก้โรคหัวใจ-ยับยั้งมะเร็ง


จากที่คนไทยบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทำให้ในประเทศมีข้าวหลายสายพันธุ์ ทั้งที่ข้าวใหม่ๆ ที่นักวิชาการได้พัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมา และมีข้าวพันธุ์พื้นเมืองอีกมายมาย ซึ่งหลายสายพันธุ์กำลังจะสูญพันธุ์ไป ทั้งที่ข้าวพื้นเมืองมีคุณค่าทางโภชนาการที่ควรจะอนุรักษ์

อย่างข้าวเหนียวเมล็ดสีแดง หรือที่รู้จักในนาม "ข้าวก่ำ" ที่เคยปลูกมากในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และน่าน ก็เป็นข้าวพื้นเมืองโบราณอีกชนิด ที่คนสมัยก่อนนิยมนำไปทำขนมไทย จำพวกข้าวหลาม ขนมเทียน ซึ่งทีมคณะวิจัยของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พบว่ามีคุณประโยชน์เชิงโภชนศาสตร์ เกษตร คือ สารต้านอนุมูลอิสระอย่างแอนโทไซยานิน และแกรมมาโอซานอล เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีผลที่ดีต่อสุขภาพ

เดิมคนโบราณเชื่อว่าเป็นข้าวเพื่อพิธีกรรม และการบำบัดรักษาเบื้องต้น ใช้เป็นยารักษาโรคที่น่าเชื่อถือ คือเรื่องการตกเลือดของหญิงคลอดลูก แก้ท้องร่วง ให้นำข้าวก่ำมาทำเป็นข้าวหลามรับประทานจะช่วยให้ทุเลาได้ ขณะที่ภาคใต้ใช้รักษาโรคผิวหนัง โดยเฉพาะโรคหิด จึงนิยมปลูกบริเวณเล็กๆ ซึ่งนอกจากความเชื่อในเรื่องสมุนไพรและคุณค่าทางอาหารของข้าวก่ำแล้ว สีของข้าวก่ำที่ออกแดงม่วงยังเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่เป็นประโยชน์ต่อ พืช เป็นการป้องกันโรคและแมลง โดยถือว่าข้าวก่ำเป็นพญาข้าวที่สามารถสังเคราะห์และปล่อยสารที่จะช่วย ป้องกันแมลงและโรคให้แก่ข้าวอื่นๆ ได้ ซึ่งจะเห็นได้จากการนิยมปลูกข้าวก่ำแทรกกับข้าวขาว เป็นต้น

ดร.ดำเนิน กาละดี หัวหน้าหน่วยวิจัยข้าวก่ำ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า ผลงานวิจัยสำคัญที่คณะวิจัยของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้นำเสนอ เป็นความก้าวหน้าทางวิชาการคือ คุณประโยชน์เชิงโภชนศาสตร์เกษตร คือ ข้าวก่ำมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างแอนโทไซยานิน และแกรมมาโอซานอล ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระมีผลที่ดีต่อสุขภาพ ในการช่วยป้องกันโรคหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือด ยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งกระเพาะ ยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร และยับยั้งการรวมตัวของเกล็ดเลือด

อย่างไรก็ตาม ข้าวเหนียวดำหรือข้าวก่ำถือเป็นแหล่งพันธุกรรมข้าวที่สำคัญชนิดหนึ่ง แต่ปัจจุบันถูกลดความสนใจ มีการเพาะปลูกลดลง และกำลังจะสูญหายไปจากพื้นที่นา ทางคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงเริ่มรวบรวมและอนุรักษ์พันธุกรรมข้าวก่ำพื้นเมืองของไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 ได้ทำงานวิจัยในเชิงวิทยาศาสตร์เกษตรตลอดมา และประสบผลสำเร็จ มีผลงานวิจัยเผยแพร่เป็นองค์ความรู้ใหม่ทางวิทยาศาสตร์เกษตรเป็นที่น่าสนใจ

กระทั่งได้รับอนุมัติจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้จัดตั้งเป็น "หน่วยวิจัยข้าวก่ำ" หรือชื่อภาษาอังกฤษ "Purple Rice Research Unit" ชื่อย่อ "พีอาร์อาร์ยู" (PRRU) อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งคณะผู้วิจัยได้เพียรพยายามรวบรวมพันธุ์ข้าวก่ำพื้นเมืองได้ถึง 42 พันธุกรรม จากแหล่งปลูกข้าวทั่วประเทศ ซึ่งพันธุ์ข้าวก่ำที่ได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์เป็นข้าวเหนียวก่ำ ได้แก่ พันธุ์ก่ำดอยสะเก็ด และก่ำอมก๋อย และผลงานการวิจัยในครั้งนี้ได้จัดให้ผู้สนใจชมมาแล้วในงานวันเกษตรภาคเหนือ ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา ณ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ส่วนในอนาคตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เชื่อว่าจะสามารถผลิตพันธุ์ข้าวเจ้าก่ำที่ มีคุณภาพทั้งทางด้านโภชนศาสตร์เกษตร และด้านโภชนศาสตร์สุขภาพ จึงมีการพัฒนาพันธุ์ข้าวก่ำให้สามารถแข่งขันกับตลาดเสรีได้

ที่มาข้อมูล :
คมชัดลึก วันที่ 7 มกราคม 2553

ข้ า ว ลื ม ผั ว . . ข้าวก่ำบ้านเฮา...ข้าวเหนียวดำนั่นเอง...อร่อย ผมชอบ



ข้ า ว ลื ม ผั ว . . .



ศูนย์วิจัยข้าวพิษณุโลก...ได้รับความสำเร็จในการคัดเลือกพันธุ์ข้าวเหนียวดำ ชื่อ...ลืมผัว

นามนี้ดึงดูดใจพอสมควร...หลังจากชุดโครงการวิจัยข้าวนาน้ำฝนคัดเลือกได้สายพันธุ์บริสุทธิ์ จึงนำไปขึ้น ทะเบียนรับรองจากกรมวิชาการเกษตร ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ สถาบันค้นคว้าและ พัฒนาผลิตภัณฑ์ อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กับ ศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี วิเคราะห์ คุณค่า ทางโภชนาการ...และได้รับการการันตีว่า มีคุณค่าสูงเหมาะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ

คุณ สำลี บุญญาวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการข้าว แจงข้อมูลดั้งเดิมว่าข้าวเหนียวดำ พันธุ์ลืมผัว เป็นข้าวนาปีพื้น เมืองเดิม ปลูกในสภาพไร่ บนภูเขาที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ต้น สูงประมาณ 137 เซนติเมตร ออกดอกประมาณวันที่ 15 กันยายน เมล็ดค่อนข้างอ้วน จำนวนเมล็ดดีต่อรวง เฉลี่ย 130 เมล็ด น้ำหนักข้าวเปลือก 1,000 เมล็ดประมาณ 37.9 กรัม

สถิติ ผลผลิตสูงสุด เมื่อปลูกสภาพไร่และอากาศที่เหมาะสม 490 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อนำมาปลูกในพื้นราบจะได้อยู่ราวๆ 200 ถึง 350 กิโลกรัมต่อไร่...

การปลูกต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเนื่องจากค่อนข้างอ่อนแอต่อโรค และ แมลงศัตรูข้าว

ข้าวเหนียวดำลืมผัว มีกลิ่นหอม รสชาติอร่อย เมื่อเคี้ยวจะรู้สึกมันและนุ่มแบบหนุบๆ (คง จะมาจากประเด็นนี้ แม่บ้านได้เปิบแล้วอร่อยจนลืมผัว)

นอกจากจะรับประทานแบบข้าวเหนียวนึ่ง โดยทั่วไปแล้ว ยังแปรรูปได้หลายชนิด เช่น ผสมกับข้าวขาว ต้มเป็นสีม่วงอ่อน ทำข้าวเหนียวเปียก ชาข้าวคั่ว แบบ pearl barley หรือเครื่องดื่มทั้งมีแอลกอฮอล์และ ปราศจากแอลกอฮอล์ซึ่งจะมีสีคล้ายทับทิมสวยงาม ชวนเปิบ

รองอธิบดีกรมการข้าว ยังอธิบายต่อถึงคุณค่าทางอาหารและโอสถสารของข้าวลืมผัวว่ามี

- สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) โดยรวมปริมาณสูงถึง 833.77 มิลลิกรัม
- กรด แอสคอร์บิก ต่อ 100 กรัม วิตามินอี (อัลฟ่า-โทโคฟีรอล) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดคอเลสเท อรอล 16.83 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
- กรดช่วยบำรุง สมอง ป้องกันภาวะเสื่อมและช่วยความจำ ได้แก่ โอเมก้า-3 ปริมาณ 33.94 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม
- โอเมก้า-6 (ช่วยบรรเทาอาการขาดภาวะเอสโตรเจนของวัยทองและช่วยให้ผิวพรรณ เปล่งปลั่ง) 1,160.08 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม และ โอเมก้า-9 ซึ่งช่วยลดคอเลสเทอรอลในเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดไม่อุดตัน ไม่เป็นโรคหัวใจ โรคพากินสันส์
- และช่วยลดความอ้วน 1,146.41 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม

นอกจากนี้ยังมีแอนโทไซยานิน 46.56 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม โปรตีน 10.63% มีธาตุเหล็กสูงมากถึง 84.18 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม แคลเซียม สังกะสี และ แมงกานีส 169.75 23.60 และ 35.38 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมตามลำดับและที่สำคัญอีกตัวคือ แกมม่าโอไรซานอล ซึ่งช่วยลดคอเลสเทอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ตลอดจนช่วยลดการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ปริมาณ 508.09 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมเฉพาะ ปัจจัยตัวหลัง คุณผู้ชายวัยทองอย่าให้พลาดเพราะอาจเป็นอย่างชื่อข้าว..!!

คนภาคเหนือโดยเฉพาะภาคเหนือตอนล่างจะรู้จัก ข้าวเหนียว "ลืมผัว"เป็นอย่างดี คนโบราณตั้งชื่อว่าข้าวเหนียวดำ "ลืมผัว" นั้นมีการบอกเล่าจากคนเก่าคนแก่ว่าเป็นคำเปรียบเทียบหรืออุปมาอุปไมย บอกถึงความอร่อยของรสชาติ มีกลิ่นหอมเวลาเคี้ยวจะรู้สึกมันและ นุ่มละมุนปากแบบหนุบๆ กินแล้วหลงใหลในรสชาติจนลืมสามีนั่นเอง

แถมนิดว่า ในรายการข่าวของสรยุทธ์บอกว่า ข้าวเหนียวดำนี้ ในอดีตเมียที่ทำกับข้าวกินแล้วรู้สึกติดใจในความนุ่ม เหนียวอร่อย จนกระทั่งกินหมดลืมเหลือเผื่อไว้ให่สามี จนตั้งชื่อว่า ข้าวลืมผัว

ที่มา
- บล๊อกโอเคเนชั่น
- jedsadan.googlepages.com